ข้อมูลส่วนตัว

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3
1
Doctor At Home: โรคไตเนโฟรติก (Nephrotic syndrome)

โรคไตเนโฟรติก (เนโฟรติกซินโดรม ก็เรียก) เป็นโรคไตชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากร่างกายมีการรั่วของโปรตีนออกมาในปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการบวมทั่วตัว แม้ว่าโรคนี้จะพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็จัดเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของโรคไตเรื้อรัง บางครั้งแพทย์อาจเรียกโรคนี้ว่า "โรคไตเรื้อรัง" โรคนี้พบได้ในคนทุกวัยตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงวัยสูงอายุ สำหรับเด็กจะพบบ่อยในกลุ่มอายุ 2-6 ปี

โรคนี้มีหลายชนิดย่อย ซึ่งมีสาเหตุ พยาธิสภาพ* และความรุนแรงที่แตกต่างกัน สามารถจัดแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ (1) โรคไตเนโฟรติกชนิดปฐมภูมิ (primary nephrotic syndrome) หรือชนิดไม่ทราบสาเหตุ (2) โรคไตเนโฟรติกชนิดทุติยภูมิ (secondary nephrotic syndrome) หรือชนิดทราบสาเหตุ ทั้ง 2 กลุ่มนี้สามารถพบได้ในทุกกลุ่มวัย โดยมีสัดส่วนที่แปรผันไปตามอายุ กล่าวคือ ในเด็กพบชนิดปฐมภูมิมากกว่า ในขณะที่ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุพบชนิดทุติยภูมิมากกว่า

*การแบ่งตามลักษณะของพยาธิสภาพของเนื้อเยื่อไตจากการตรวจชิ้นเนื้อ พบชนิดที่สำคัญ ได้แก่ (1) Minimal change disease (MCD) ซึ่งเป็นชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุ พบได้บ่อยสุดในเด็กเล็ก และพบในผู้ใหญ่ได้บ้าง การตรวจชิ้นเนื้อไม่พบพยาธิสภาพชัดเจน หรือมีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย มีความรุนแรงไม่มาก และรักษาได้ผลดี, (2) Focal segmental glomerulosclerosis (FSGS) ซึ่งพบได้บ่อยสุดในผู้ใหญ่ อาจเกิดจากโรคหรือยาบางชนิด หรือความผิดปกติทางพันธุกรรม บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน, (3) Membranous nephrology (MN) ซึ่งพบว่ามีการสะสมสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีที่เยื่อบุภายในหน่วยไต อาจเกิดจากโรคเอสแอลอี ตับอักเสบจากไวรัสบี มาลาเรีย หรือมะเร็ง บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน

สาเหตุ

อาการเกิดเนื่องจากร่างกายมีการสูญเสียโปรตีน (ได้แก่ อัลบูมิน หรือสารไข่ขาว) ออกไปทางปัสสาวะ เพราะมีความผิดปกติของหน่วยไต (glomerulus) ซึ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ที่ทำหน้าที่กรองปัสสาวะ ทำให้มีระดับอัลบูมิน (albumin) ในเลือดต่ำ จึงเกิดอาการบวมทั้งตัว

สำหรับกลุ่มโรคไตเนโฟรติกชนิดปฐมภูมิ ซึ่งมีหลายชนิดย่อย มีความผิดปกติของไตในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน เด็กเล็กบางราย (ซึ่งพบเป็นส่วนน้อยมาก) เป็นโรคไตเนโฟรติกแต่กำเนิด (congenital nephrotic syndrome) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม

สำหรับกลุ่มโรคไตเนโฟรติกชนิดทุติยภูมิ ซึ่งพบบ่อยในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ มีสาเหตุมาจากโรคและภาวะผิดปกติทางร่างกาย ที่สำคัญ ได้แก่

    ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมานานและเกิดภาวะแทรกซ้อนของไต (ไตเสื่อม ไตวายเรื้อรัง) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยสุดในวัยกลางคนและสูงอายุ นอกจากนี้ยังพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเอสแอลอี โรคอะมีลอยโดซิส (amyloidosis)* หรือโรคหน่วยไตอักเสบ หรือโรคไตชนิดอื่น ๆ
    โรคติดเชื้อ เช่น ตับอักเสบจากไวรัสบีหรือซี เอดส์ มาลาเรีย ซิฟิลิส โรคเรื้อน เป็นต้น
    มะเร็ง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งเต้านม มะเร็งทางเดินอาหาร เป็นต้น บางรายอาจมีอาการของโรคไตเนโฟรติกก่อนที่ตรวจพบมะเร็งก็ได้ มักพบในวัยสูงอายุ
    ยาและสารบางชนิด เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ซึ่งพบได้บ่อย) เพนิซิลลิน แคปโทพริล โพรเบนาซิด ลิเทียม อินเทอเฟรอน บิสฟอสโฟเนต (bisphosphonate) ยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (เช่น สารเกลือของทอง หรือ gold salt, เพนิซิลลามีน หรือ penicillamine) สารเสพติด (เฮโรอีน) สารพิษโลหะหนัก (เช่น ปรอท)
    ในเด็กอาจเกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อวัคซีนหรือพิษแมลง ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้แต่ค่อนข้างน้อย เช่น มีรายงานว่าเด็กเกิดอาการโรคไตเนโฟรติกหลังถูกผึ้งต่อยแม้เพียง 1 ตัว

*โรคนี้เกิดจากการสะสมของสารอะมีลอยด์ (amyloid ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง) ในอวัยวะต่าง ๆ ทำให้ไตทำหน้าที่ผิดปกติ โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุ

อาการ

มีอาการบวมทั่วตัว ทั้งที่หน้า หนังตา ท้อง และเท้า 2 ข้าง ซึ่งมักจะค่อย ๆ เกิดเพิ่มขึ้นทีละน้อย (มีเพียงส่วนน้อยที่อาจเกิดขึ้นฉับพลัน) ผู้ป่วยอาจสังเกตเห็นหนังตาบวมชัดเจนเวลาตื่นนอน ปัสสาวะสีใสเหมือนปกติ แต่จะออกเป็นฟอง (เนื่องจากมีสารไข่ขาวในปัสสาวะมาก)

ผู้ป่วยจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น (เพราะอาการบวมจากมีน้ำคั่งในร่างกาย) รู้สึกอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไม่มีไข้ นอนราบได้ (โดยไม่มีอาการหอบเหนื่อย) มักจะเดินเหินและทำงานได้

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่

    ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ไตวายเฉียบพลัน หรือไตวายเรื้อรัง (ซึ่งอาจกลายเป็นไตวายระยะท้ายใน 5-10 ปี)
    ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจเกิดภาวะขาดสารอาหาร เช่น ภาวะขาดโปรตีน (เกิดอาการแบบโรคขาดอาหารควาชิวากอร์) ผมและเล็บเปราะ ผมร่วง ภาวะโพแทสเซียมต่ำ ภาวะแคลเซียมต่ำ เป็นต้น
    ร่างกายมีภูมิคุ้มกันลดลง เนื่องจากการสูญเสียอิมมูโนโกลบูลิน (ซึ่งเป็นโปรตีนช่วยต้านทานโรค) ออกทางปัสสาวะ ทำให้เป็นโรคติดเชื้อง่าย เช่น เป็นฝีพุพอง ปอดอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ กรวยไตอักเสบ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษได้
    ภาวะเลือดแข็งตัวง่าย เนื่องจากร่างกายมีสารกระตุ้นการแข็งตัวของเลือดเพิ่มขึ้น แต่สูญเสียสารในการละลายลิ่มเลือด อาจทำให้เกิดภาวะสิ่งหลุด (ลิ่มเลือด) อุดตันหลอดเลือดแดง (ที่ไต ที่เท้า ที่ปอด)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

มักตรวจพบหน้าบวม หนังตาบวม เท้าบวมกดบุ๋ม ท้องบวม (ท้องมาน) และมีภาวะซีด (ในรายที่เป็นมานาน) ตรวจปัสสาวะพบสารไข่ขาว (albumin) ขนาด 3+ ถึง 4+

เมื่อใช้เครื่องฟังตรวจปอดจะพบภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) และภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion)   

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจเลือดและปัสสาวะ ซึ่งจะพบว่าระดับสารไข่ขาวในเลือดต่ำ (hypoalbuminemia) ระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และมีสารไข่ขาวในปัสสาวะมาก (ในผู้ใหญ่มีมากกว่า 3-5 กรัม/วัน) บางรายแพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจอัลตราซาวนด์ การตรวจชิ้นเนื้อไต (renal biopsy) เพื่อประเมินชนิดและความรุนแรงของโรค

นอกจากนี้ อาจทำการตรวจอื่น ๆ เพื่อค้นหาโรคที่พบร่วม เช่น เบาหวาน เอสแอลอี มาลาเรีย ตับอักเสบจากไวรัสบีหรือซี เอดส์

การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าตรวจพบสาเหตุที่ชัดเจน ก็ให้การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย ยาต้านไวรัสรักษาโรคติดเชื้อไวรัส ให้ยาควบคุมโรคเบาหวาน เอสแอลอี เป็นต้น

2. ให้ยารักษาอาการและภาวะแทรกซ้อนที่พบ อาทิ ยาลดความดันโลหิต (เช่น อีนาลาพริล, โลซาร์แทน) ยาลดไขมัน (เช่น ซิมวาสแตติน) ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น เฮพาริน, วาร์ฟาริน) ยาขับปัสสาวะ (เช่น ฟูโรซีไมด์) เพื่อลดอาการบวม การล้างไตหรือปลูกถ่ายไตในผู้ที่มีภาวะไตวาย เป็นต้น

3. ให้ยากดภูมิคุ้มกัน ได้แก่ ยาสเตียรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) เพื่อลดการอักเสบของหน่วยไต และนัดไปตรวจเลือดและปัสสาวะเป็นประจำ ถ้าพบว่าสารไข่ขาวในเลือดมีระดับสูงขึ้น และสารไข่ขาวในปัสสาวะลดน้อยลง พร้อมกับอาการบวมลดลง (น้ำหนักตัวลดลง) แสดงว่าอาการดีขึ้น ก็จะค่อย ๆ ลดยาลงทีละน้อย อาจให้กินยาอยู่นาน 2-3 เดือน

บางรายแพทย์อาจให้ยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่นร่วมด้วย เช่น ไรทูซิแมบ (rituximab), ไซโคลสปอรีน (cyclosporine), ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) เป็นต้น

4. ในรายที่ดื้อต่อยาสเตียรอยด์ (ไม่ได้ผลในการรักษา) หรือต้องพึ่งยาสเตียรอยด์นาน ๆ หรือมีข้อบ่งชี้อื่น (เช่น เป็นโรคไตเนโฟรติกแต่กำเนิด มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย ในผู้ใหญ่เป็นโรคนี้โดยไม่พบสาเหตุชัดเจน) แพทย์จะทำการตรวจชิ้นเนื้อไต (renal biopsy โดยการเจาะเอาเนื้อเยื่อไตไปตรวจ) เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะกับชนิดของโรค   

ผลการรักษา ขึ้นกับสาเหตุและชนิดของโรค   

ถ้าเป็นชนิด minimal change disease ซึ่งพบบ่อยในเด็กเล็ก (แต่ก็พบได้ในคนทุกวัย) มักมีอาการไม่รุนแรง และรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ได้ผล ช่วยให้หายขาดได้ บางรายเมื่อหยุดยาหลังจากอาการดีขึ้น ก็อาจกำเริบได้ใหม่ในภายหลัง และอาจต้องกินยานาน 6 เดือน-1 ปี ซึ่งในที่สุดก็มักจะหายขาดได้ น้อยรายที่จะกลายเป็นไตวายเรื้อรังตามมา

ในรายที่เป็นชนิดร้ายแรง (ซึ่งอาจดื้อต่อการรักษา) มีสาเหตุจากโรคร้ายแรง (เช่น มะเร็ง) หรือโรคที่ควบคุมไม่ได้ (เช่น เบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง) หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่ควบคุมไม่ได้ (เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ภูมิคุ้มกันต่ำ) ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (โรคติดเชื้อร้ายแรง ไตวายรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด) และทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และมีอาการบวมทั่วตัว (ทั้งที่หน้า หนังตา ท้อง และเท้า 2 ข้าง) ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคไตเนโฟรติก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ควรพักผ่อนให้มาก ๆ
    งดอาหารเค็มเพื่อลดอาการบวม
    กินอาหารพวกโปรตีน (เนื้อ นม ไข่) ให้มาก ๆ (ประมาณ 80-90 กรัม/วัน)
    ลดการกินอาหารพวกไขมัน และคอเลสเตอรอล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีอาการไม่สบาย เช่น ไข้ ท้องเดิน หายใจหอบ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

สำหรับโรคไตเนโฟรติกชนิดปฐมภูมิ ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

สำหรับโรคไตเนโฟรติกชนิดทุติยภูมิ ซึ่งมีสาเหตุจากโรคบางชนิดหรือยาบางชนิด ควรหาทางป้องกันด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้

    ป้องกันไม่ให้เป็นโรคเบาหวาน ด้วยการออกกำลังกาย ลดอาหารหวานและน้ำตาล ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบจากไวรัสบี และปฏิบัติตัวในการป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสบีและซี เอดส์ ซิฟิลิส มาลาเรีย
    รักษาโรคที่อาจเป็นสาเหตุของโรคไตเนโฟรติก (เช่น โรคเบาหวาน เอสแอลอี โรคติดเชื้อ มะเร็ง) ให้ได้ผล
    ระมัดระวังในการใช้ยา เช่น หลีกเลี่ยงการซื้อยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (นิยมใช้เป็นยาแก้ปวด แก้ข้ออักเสบ) มาใช้เอง

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้จะต้องรักษากันเป็นเวลานาน ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจนานเป็นแรมปี ควรติดต่อรักษากับแพทย์คนใดคนหนึ่งเป็นประจำ อย่าเปลี่ยนหมอ เปลี่ยนโรงพยาบาลเอง โดยทั่วไปถ้ามีปัญหาในการรักษา แพทย์ที่รักษาอยู่เดิมมักจะมีจดหมายส่งตัวผู้ป่วยไปรักษากับแพทย์ที่มีความชำนาญกว่า

2. ผู้สูงอายุที่เป็นโรคไตเนโฟรติกมักเกิดจากโรคเบาหวานที่ไม่ได้ควบคุมให้ดีตั้งแต่แรกจนมีภาวะไตเสื่อมแทรกซ้อน ดังนั้นผู้ที่เป็นเบาหวานควรดูแลรักษาตนเองให้ดีตั้งแต่แรก ก็อาจป้องกันโรคไตเนโฟรติกได้

3. ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ซึ่งมีสาเหตุจากมะเร็ง บางรายอาจมีอาการแสดงของโรคไตเนโฟรติกมาก่อนที่จะพบว่าเป็นมะเร็ง ดังนั้นผู้สูงอายุซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง หากเป็นโรคไตเนโฟรติกและยังไม่พบมีสาเหตุที่ชัดเจน ควรเฝ้าระวังดูอาการของโรคมะเร็ง และแพทย์อาจจำเป็นต้องทำการตรวจอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่ามีมะเร็งแฝงอยู่หรือไม่

2
จัดฟันบางนา: ทันตกรรมเด็ก ดูแลฟันเด็ก ในแต่ละช่วงอายุ ตั้งแต่แรกเกิด ถึง 18 ปี !

ฟัน ถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญอันดับต้นๆ ที่ใช้งานหนักที่สุดในชีวิตตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา แต่ก็มีหลายๆคนที่เริ่มหันมาเห็นความสำคัญและดูแลเมื่อสายไปเสียแล้ว
ช่องปากก็เช่นกัน หลายคนละเลยทั้งที่แท้จริงควรเริ่มดูแลตั้งแต่แรกเกิด เพื่อไม่ให้เกิดการส่งต่อปัญหาช่องปากในระยะยาว งานวิจัยเกี่ยวกับทันตกรรมมากมายชี้ชัดว่าการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่ารอควรเริ่มทำตั้งแต่แรกเกิดอย่างสม่ำเสมอ

หลายๆคนที่มีบุตรหลานที่ยังอยู่ในวัยเด็กเล็กส่วนใหญ่จะคิดว่าค่อยไปดูแลฟันและช่องปากอย่างจริงจังเมื่อเริ่มมีฟันแท้ แต่หารู้ไม่ว่าเริ่มตอนนั้นอาจจะสายไป เพราะ ฟันน้ำนมมีค่ามากกว่าจะถูกละเลย

โดยในวันนี้จะขอแนะคำคุณผู้อ่านให้ได้รู้จักเคล็ดลับการดูแลช่องปากและฟันของบุตรหลานท่านให้มีสุขภาพที่ดีในแต่ละช่วงอายุตั้งแต่วัยแรกเกิดจนกระทั่งถึงอายุ 18 ปี โดยมีดังต่อไปนี้

ทันตกรรมเด็ก และวิธีการดูแลช่องปากและฟัน

– แรกเกิด ถึง 2 ปี
ในช่วงวัยนี้ต้องขอบอกเลยว่า บุตรหลานอาจจะไม่มีฟันน้ำนมขึ้น แต่การดูแลสุขภาพเหงือกและช่องปากก็ยังถือได้ว่าสำคัญอยู่ดี เพราะบุตรหลานต้องดื่มนม และหากว่าไม่ได้ทำความสะอาดช่องปาก ก็อาจจะก่อให้เกิดแบคทีเรียในช่องปากได้ วิธีทำความสะอาดที่ดีในวัยนี้ก็คือ การเอาผ้านุ่มๆชุบน้ำหมาดๆเช็ดที่เหงือกเพื่อขจัดคราบน้ำนมที่เกาะตามเหงือกของบุตรหลานท่าน

– ช่วงอายุ 2 ปี ถึง 4 ปี
ในช่วงนี้ บุตรหลานของท่านจะมีฟันน้ำนมขึ้นครบทั้ง 20 ซี่ และเริ่มรับประทานอาหารได้หลากหลายขึ้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ควรให้บุตรหลานของท่านเริ่มรู้จักการแปรงฟันที่ถูกต้อง

โดยการสอนลูกให้แปรงฟันเป็นแนวตั้ง ปัดขึ้นลงโดยใช้เวลาในการแปรงฟันให้ทั่วปากประมาณ 2 นาที โดยให้ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์โดยให้ใส่แค่พอชื้น และเมื่อมีอายุครบประมาณ 3 ปีแล้ว ให้เพิ่มปริมาณยาสีฟันให้มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว โดยแปรงอย่างละเอียดทุกซี่ โดยแปรงวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
ซึ่งในช่วงอายุประมาณนี้บุตรหลานจะยังไม่สามารถแปรงฟันเองให้สะอาดได้ ผู้ปกครองจึงควรมีส่วนร่วมในการแปรงฟันให้ โดยการโอบข้างหลังแล้วยื่นแปรงสีฟันไปข้างหน้าแล้วจับมือบุตรหลานแปรงฟันอย่างละเอียดทุกซี่ เพื่อให้เขาลูกสึกเคยชินกับการแปรงฟัน พยายามทำแบบนี้จนกว่าบุตรหลานจะเริ่มแปรงฟันเองได้อย่างสะอาดไม่มีคราบเหนียวๆลื่นๆสีขาวอมเหลืองติดฟัน

– ช่วงอายุ 5 ปี ถึง 6 ปี
ในช่วงวัยนี้เด็กๆอาจจะเริ่มมีฟันแท้ขึ้น นั่นก็คือ ฟันหน้าล่าง ส่วนฟันน้ำนมจะเริ่มโยก และจะเริ่มมีฟันกรามแท้โผล่ขึ้นมาเป็นซี่สุดท้ายถัดจากฟันกรามน้ำนมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งการแปรงฟันจะต้องละเอียดกว่าเดิมสำหรับด้านในปาก
ซึ่งในช่วงวัยนี้เด็กๆควรที่จะเริ่มแปรงฟันได้ด้วยตัวเองอย่างสะอาดแล้ว โดยเมื่อแปรงเสร็จให้ผู้ปกครองตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งอย่างละเอียด เมื่ออายุได้ 6 ปี เด็กๆควรหันมาใช้ยาสีฟันผู้ใหญ่ โดยบีบยาสีฟันประมาณ 1 ซ.ม. โดยใช้เวลาแปรงฟันครั้งละ 2 นาที วันละ 2 ครั้ง

– ช่วงอายุ 7 ปี ถึง 8 ปี
ในช่วงวัยนี้ถือว่าต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ ควรแปรงฟันแบบตั้งฉากถูกไปมาขยับสั้นๆให้ทั่วทุกซอกและซี่ฟัน และเป็นช่วงวัยที่นิยมขนมหวาน จึงควรให้ลูกเลือกรับประทานและสอนให้รู้ถึงพิษภัยของฟันผุ และควรแปรงวันละ 2 ครั้ง เช้ากับก่อนนอนทุกวันเป็นประจำ
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากๆ คือ พบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน เป็นอย่างน้อย เพื่อประเมินสุขภาพช่องปากและฟัน

-ช่วงอายุ 11 ปี ถึง 18 ปี
ในวัยนี้เริ่มมีการเจริญเติบโตของใบหน้าอย่างรวดเร็ว อาจจะทำให้เด็กๆมีปัญหาเรื่องฟันสบกัน ซึ่งถ้าหากมีปัญหาเรื่องนี้ให้รีบเข้าพบทันแพทย์เพื่อจัดฟันในเด็ก ที่นิยมและทันสมัยในตอนนี้คือ EF Line ซึ่งจะมีส่วนช่วยเรื่องฟันสบกัน แล้วทำให้ใบหน้าเข้ารูปอีกด้วย แต่ควรรีบมาก่อนที่การเจริญเติบโตของกระดูกกรามจะหยุดโตเพราะอาจจะสายเกินไป

3
บริการด้านอาหาร: อาหารช่วยเพิ่มเลือด สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง

ในเรื่องของการรับประทานอาหาร เป้นเรื่องที่ทุกคนจะต้องเอาใจใส่ เลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะอาหารที่รับประทานอาหารเข้าไปนั้น ส่งผลต่อร่างกายของเราโดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็ง ซึ่งจะเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพแทบจะ 100% เลย คนที่ป่วยเป็นมะเร็ง หลายคนอาจจะมีความกังวลกับผลข้างเคียงจากการรักษาบางคนรับประทานอาหารไม่ได้ เนื่องจากมีผลข้างเคียงจากการให้ยาเคมีบำบัด แต่การรับประทานอาหาร ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถช่วยให้ผลข้างเคียงบรรเทาลงได้ ช่วยทำให้สุขภาพร่างกายไม่ทรุดลงไปมากกว่าที่ควร สำหรับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งนั้น ในเรื่องของเลือดถือว่ามีความสำคัญมากที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

ดังนั้น วันนี้จะมาพูดถึงอาหารที่ช่วยบำรุงเลือด เพิ่มเลือด สำหรับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็วและได้รับยาเคมีบำบัด เพราะหลายคนที่ต้องได้รับยาเคมีบำบัดนั้น มีความกังวลในเรื่องของการรับประทานอาหาร ซึ่งบางคนอาจจะมีผลข้างเคียงถึงขนาดว่า ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ หรือไม่รู้สึกอยากอาหาร แต่อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงจากการรักษา ก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย จึงไม่ใช่ทุกอาการที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ขึ้นกับการดูแลตัวเอง ยาที่ใช้ การเข้ากันของยาที่ใช้ การรับประทานอาหารที่ถูกต้องและเพียงพอจึงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจให้มาก

ก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อาหารเพิ่มเลือด สำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องเข้ารับยาเคมีบำบัด มีความสำคัญทั้งก่อนและหลังจากได้รับยา เนื่องจากร่างกายมักได้รับผลกระทบจากยาเคมีที่ใช้ในการรักษาทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักลด เม็ดเลือดลดต่ำ ภูมิต้านทานลดลง อ่อนเพลีย มีปัญหาการขับถ่าย ดังนั้น อาหารที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มเม็ดเลือด จึงจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยมะเร็งรับประทาน และต้องเลือกอาหารที่สะอาด ปรุงสุก เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียจากอาหาร

เนื่องจากยาจะส่งผลให้เม็ดเลือดขาวลดต่ำลง ทำให้ร่างกายมีโอกาสป่วยจากการติดเชื้อมากขึ้น ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว เช่น โปรตีน อัลบูมิน ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินบี 12 แมกนีเซียม และ ธาตุสังกะสี ( Zinc ) เป็นต้น ก็จะช่วยทำให้มีร่างกายที่ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นนั่นเอง

สำหรับการรับประทานอาหาร ช่วงเวลา 14-20 วันก่อนการให้ยาเคมีบำบัดจะต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมมากที่สุด โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารเพิ่มเม็ดเลือดและโปรตีนช่วยเสริมความแข็งแรงให้ร่างกาย อาหารที่ผู้ป่วยควรรับประทานได้แก่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และปลาทะเล นม หรือนมถั่วเหลือง ไข่ อาหารเพิ่มเม็ดเลือด อยู่ในอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงเพื่อเพิ่มเม็ดเลือด เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ม้าม ผักตำลึง ผักโขม ถั่วดำ ข้าวโอ๊ต อาหารที่มีวิตามินซี หากรับประทานควบคู่กับธาตุเหล็กจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น เช่น ส้ม ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี่ อาหารที่มีกรดโฟลิกสูง เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ผักคะน้า ผักโขม ผักกาดหางหงส์ หน่อไม้ฝรั่ง กระหล่ำดอก กระหล่ำปลี บร็อคโคลี่ แครอท ฟักทอง งดดื่มชาและกาแฟที่เพราะสาร Tannin จะยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กนั่นเอง

ทั้งนี้ ผู้ป่วยหรือผู้ดูแลจะต้องตระหนักด้วยว่า ก่อนการให้ยาเคมีบำบัดเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด เพราะหากแพทย์ตรวจเลือดและความพร้อมของร่างกายแล้วพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งมีระดับเม็ดเลือด น้ำหนักตัว ความดันเลือด และความแข็งแรงโดยรวมไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แพทย์จะไม่ให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัดและต้องรอจนกว่าร่างกายผู้ป่วยแข็งแรง พร้อมที่จะรับผลข้างเคียงของยาเคมีได้ จึงจะทำการรักษาให้ต่อไป

ดังนั้น เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วย ยิ่งในตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังน่าเป็นห่วง ทางที่ดีที่สุดเราควรดูแลสุขภาพให้มากที่สุด เพื่อให้เราได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ยิ่งถ้าเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี แข็งแรง ก็จะช่วยทำให้เราลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรือลดความเสี่ยงของอาการเจ็บป่วยได้ ดังนั้น เราจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ

4
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งกล่องเสียง (Laryngeal cancer)

มะเร็งกล่องเสียง พบได้ประมาณร้อยละ 3 ของมะเร็งทั้งหมด พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 10 เท่า และพบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉลี่ยอายุประมาณ 60-70 ปี
 

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่

    การสูบบุหรี่ และจะพบมากขึ้นในผู้ที่ดื่มสุราร่วมด้วย
    การดื่มสุราจัด
    การติดเชื้อเอชพีวี (human papilloma virus/HPV)
    การสัมผัสสารใยหิน นิกเกิล ฝุ่นไม้ สี และสารเคมีบางชนิด (เช่น กรดกำมะถัน)
    การระคายเคืองเรื้อรังจากโรคกรดไหลย้อน
    ภาวะขาดสารอาหารซึ่งมักพบร่วมกับผู้ที่ดื่มสุราจัด
    การมีประวัติมะเร็งกล่องเสียงในครอบครัว

อาการ

มักมีอาการเสียงแหบเรื้อรังติดต่อกันนานเกิน 2-3 สัปดาห์ อาจมีอาการเจ็บคอเรื้อรัง ไอเรื้อรัง ปวดหู รู้สึกเจ็บเวลากลืนหรือกลืนลำบาก หรือสำลักร่วมด้วย

ต่อมาอาจพบมีเลือดออกปนกับเสมหะ ไอเป็นเลือด มีก้อนแข็งที่ข้างคอ น้ำหนักลด หายใจลำบากหรือหายใจมีเสียงดังฮี้ด (stridor)


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก และเกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆ ที่มะเร็งแพร่กระจายไป เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่คอ (ก้อนบวมโตที่ข้างคอ) ต่อมไทรอยด์ (คอโต คอพอก) หลอดอาหาร (กลืนลำบาก) หลอดลม (ไอ หายใจลำบาก) ปอด (เจ็บหน้าอก ไอเป็นเลือด หายใจหอบ) เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจบริเวณคอ อาจพบก้อนแข็งที่ข้างคอ (ซึ่งเป็นต่อมน้ำเหลืองโตจากมะเร็งลุกลามในระยะท้าย ๆ ของโรค) การใช้เครื่องมือส่องตรวจภายในลำคอพบเนื้องอกที่กล่องเสียง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยใช้กล้องส่องตรวจกล่องเสียง (laryngoscopy) และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

หากพบว่าเป็นมะเร็ง ก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

ถ้าเป็นระยะแรกเริ่มจะรักษาโดยการฉายรังสีเป็นหลัก หรือผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ ทำให้รักษากล่องเสียงไว้ได้ และผู้ป่วยพูดได้เป็นปกติ แต่ถ้าเป็นระยะลุกลามก็จะรักษาด้วยการผ่าตัดกล่องเสียงร่วมกับการฉายรังสี บางรายอาจให้เคมีบำบัด และ/หรือการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drugs) ร่วมด้วย

ผลการรักษา ถ้าเป็นระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดและพูดได้เป็นปกติ (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ประมาณร้อยละ 70-90)

ในรายที่เป็นระยะลุกลามไม่มากและผ่าตัดกล่องเสียง ก็มักจะมีชีวิตยืนยาว แต่พูดไม่ได้ และต้องฝึกพูดด้วยการเปล่งเสียงผ่านหลอดอาหาร (esophageal speech) หรือใช้อุปกรณ์ช่วยพูด (electrolarynx)

ในรายที่เป็นมะเร็งที่มีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 30-45)

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการเสียงแหบนานเกิน 2 สัปดาห์, มีอาการเจ็บคอ ไอ ปวดหู หรือกลืนลำบากเรื้อรัง, มีเลือดออกปนกับเสมหะ, มีก้อนแข็งที่ข้างคอ เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งกล่องเสียง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบและงานจิตอาสาเท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวดประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์และทีมสุขภาพที่ดูแล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบาย เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก ซีด มีเลือดออก ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน กินไม่ได้ หายใจลำบาก เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกล่องเสียงด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มสุรา
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารใยหิน ฝุ่นไม้
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ และได้รับสารอาหารครบถ้วนและสมดุล
    ป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี โดยการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เสรีหรือไม่ปลอดภัย รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก และปรึกษาแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี (HPV vaccine)

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการเสียงแหบเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด หากได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ ผู้ป่วยมักจะหายขาดและมีอายุยืนยาว สามารถทำงานได้ตามปกติ แต่จะพูดไม่ได้เพราะถูกตัดกล่องเสียง ผู้ป่วยสามารถฝึกพูดเพื่อสื่อสารกับผู้คนได้

2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

3. หลังการรักษาจนทุเลาดีแล้ว บางรายอาจมีมะเร็งกำเริบได้ ควรติดตามรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง

5
จัดฟันบางนา: เปรียบเทียบ “รีเทนเนอร์” แบบไหนเหมาะสมกับคุณ ?

เชื่อว่าหลายๆคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า หากคิดจะทำการจัดฟัน หรือจัดฟันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่กระบวนการจัดฟันทั้งหมดเสร็จสิ้น สิ่งสำคัญที่หลีกหนีไม่ได้นั่นคือ การใส่รีเทนเนอร์ หรือที่เรียกว่า เครื่องมือคงสภาพฟัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างมากหลักจากที่ทำการจัดฟัน เพราะ รีเทนเนอร์จะมีส่วนในการช่วยคงสภาพฟัน ไม่ให้เกิดฟันล้ม หรือฟันเคลื่อนภายหลังจากการจัดฟันนั่นเอง

ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าในสมัยนี้ รีเทนเนอร์ มีมากมายหลายรูปแบบ ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมและพฤติกรรมของแต่ละคน

โดยในวันนี้จะขอมาอธิบายเกี่ยวกับรีเทนเนอร์แต่ละแบบ เพื่อให้คุณผู้อ่านสามารถเลือกได้อย่างเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


รีเทนเนอร์ คืออะไร ?

หน้าที่หลักๆของรีเทนเนอร์ ก็คือ การคงสภาพฟัน ไม่ให้ฟันที่ถูกจัดไปแล้วเกิดการเคลื่อนตัวจากตำแหน่งที่ควรจะเป็น โดยผู้ที่ถอดเครื่องมือจัดฟันไปแล้ว จำเป็นที่จะต้องใส่รีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอ โดยพยายามทำตามที่ทางด้านของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำอย่างเคร่งครัด ซึ่งหากว่าไม่ใส่รีเทนเนอร์หลังจากทำการจัดฟัน อาจจะต้องกลับมาจัดฟันซ้ำสอง เนื่องจากฟันที่จัดเกิดการล้ม หรือเคลื่อนที่จากจุดที่ควรจะเป็นนั่นเอง

ควรเลือกรีเทนเนอร์แบบไหน ให้เหมาะสมกับเรา ?

ต้องบอกก่อนเลยว่าในปัจจุบันนี้ มีรีเทนเนอร์ด้วยกันทั้งหมด 3 รูปแบบหลักๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันไม่มาก แต่จุดประสงค์ไม่ต่างกันเลยคือ การป้องกันฟันล้มหลังการจัดฟัน แต่ที่แตกต่างกันจริงๆคือวิธีการใส่ เพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้ใช้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


1.    รีเทนเนอร์ถอดได้แบบใส

รีเทนเนอร์ถอดได้แบบใสนี้ ถือได้ว่ากำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งรีเทนเนอร์แบบใสนี้จะผลิตจากพลาสติกใส โดยมีลักษณะเป็นแผงใส่ครอบทั้งฟัน ซึ่งจะทำการผลิตขึ้นมาเฉพาะบุคคล โดยทำการหล่อขึ้นมาใหม่ทุกครั้งเพื่อให้พอดีกับฟันของคนไข้ ซึ่งระยะเวลาการใส่รีเทนเนอร์ถอดได้แบบใสนี้ โดยส่วนใหญ่จะใส่ติดปากตลอดเวลาในช่วง 6 เดือนแรก จะถอดเฉพาะเวลาที่รับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีความร้อน หลังจากที่พ้น 6 เดือนแรกไปแล้ว ก็สามารถใส่แค่เฉพาะเวลานอนได้ อายุการใช้งานประมาณ 2 ปี

ข้อดี คือ ใส่สบาย และมองไม่เห็นว่ากำลังใส่รีเทนเนอร์อยู่ จึงทำให้มีความสวยงามในขณะใส่

ข้อเสีย คือ วัสดุไม่มีความทนทาน ฉีกขาดเสียหายได้ง่ายกว่าแบบอื่น และเวลาพูดคุยอาจจะมีน้ำลายขังได้


2.    รีเทนเนอร์แบบลวด

รีเทนเนอร์แบบลวดนั้นฐานจะทำจากอะคริลิคโดยขนาดนั้นจะพอดีกับเพดานปากของคนไข้ ส่วนด้านหน้าเป็นลวดจากโลหะ ใช้สำหรับครอบฟันเพื่อไม่ให้ฟันเคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง และต้องใส่ติดฟันไว้ตลอดจะถอดต่อเมื่อเวลาที่รับประทานอาหาร โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้กำหนดช่วงระยะเวลาในการใส่ตามความเหมาะสม โดยอายุการใช้งานนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 5-10 ปี

ข้อดี คือ ใส่สบายกว่าแบบใส เพราะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำลายขังในอุปกรณ์ แถมยังมีความทนทานเสียหายยาก

ข้อเสีย คือ ในขณะใส่จะทำให้คนอื่นมองเห็นลวดที่อยู่ในปาก อาจจะทำให้บางคนไม่มีความมั่นใจในขณะพูดคุย แถมลวดบางทีอาจจะสร้างความระคายเคืองต่อช่องปากและกระพุ้งแก้มได้


3.    รีเทนเนอร์แบบติดแน่น

รีเทนเนอร์แบบติดแน่นนี้จะมีลักษณะเป็นลวดติดไว้บริเวณด้านในของฟัน เพื่อให้ฟันไม่เคลื่อน คงสภาพไม่ให้ห่างออกจากกัน และไม่สามารถทำการถอดออกได้ด้วยตนเอง ซึ่งต้องให้ทันตแพทย์ถอดออกให้เท่านั้น โดยอายุการใช้งานนั้นยาวนานกว่าแบบอื่น ๆที่กล่าวมาเป็นอย่างมาก

ข้อดี คือ มองไม่เห็นลวด ข้อดีของการถอดเองไม่ได้คือ อุปกรณ์จะเสียยาก แถมไม่ต้องห่วงเรื่องการถอดไว้แล้วหายหรือลืมที่วาง ไม่มีปัญหาต่อการออกเสียงในการพูด คงทนแข็งแรงกว่ารีเทนเนอร์ทุกชนิด

ข้อเสีย คือ ทำความสะอาดยาก อาจก่อให้เกิดคราบหินปูนได้ง่ายส่งผลให้เป็นโรคเหงือกตามมา เศษอาหารเวลารับประทานเข้าไปติดบ่อยครั้ง ในช่วงแรกลวดอาจจะทำให้ระคายผิวลิ้นได้

ทั้งหมดนี้ก็คือ รีเทนเนอร์รูปแบบต่าง ๆ ทุกอย่างมีหน้าที่เดียวกันคือป้องกันฟันเคลื่อนหรือล้ม หลังจากที่จัดฟันเสร็จ แต่รีเทนเนอร์แต่ละชนิดต่างกันเรื่องความพอใจของผู้สวมใส่เท่านั้น ลองเลือกที่เหมาะกับตัวเองได้ไม่มีปัญหาตามมาในอนาคต

6
ดอกบัวในโถแก้ว: การคัดเลือกดอกไม้ ก่อนนำไปทำดอกไม้แห้ง

การคัดเลือกดอกไม้ก่อนนำไปทำดอกไม้แห้งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากครับ เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพ สีสัน และรูปทรงของดอกไม้แห้งที่คุณจะได้ออกมา หากเลือกดอกไม้ได้ดี การทำดอกไม้แห้งก็จะง่ายขึ้นและได้ผลลัพธ์ที่สวยงามน่าพอใจครับ

นี่คือเรื่องสำคัญที่ควรรู้ในการคัดเลือกดอกไม้ก่อนนำไปทำดอกไม้แห้ง:

1. เลือกชนิดของดอกไม้ที่เหมาะสม

ดอกไม้แต่ละชนิดมีปริมาณน้ำในกลีบดอกและก้านที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการแห้งและคงรูป

ดอกไม้ที่เหมาะกับการทำดอกไม้แห้ง (มีปริมาณน้ำน้อย กลีบไม่ช้ำง่าย):

ดอกกุหลาบ: เป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะคงรูปทรงและสีสันได้ดีเยี่ยมเมื่อแห้ง

ไฮเดรนเยีย (Hydrangea): เมื่อแห้งแล้วจะให้ Texture คล้ายกระดาษ สวยงามและมีหลากหลายสี

ยิปโซฟิลล่า (Gypsophila/Baby's Breath): ดอกเล็กๆ พุ่มสวย เมื่อแห้งแล้วยังคงความโปร่งเบา

สแตติส (Statice): มีกลีบดอกคล้ายกระดาษอยู่แล้ว จึงแห้งง่ายและคงสีสันได้ดี

แคสเปีย (Caspea): คล้ายยิปโซ แต่ดอกเล็กกว่า มีความทนทาน

สุ่ย (Limonium): ดอกเล็กๆ คล้ายสแตติส แห้งแล้วยังคงรูปและสี

เบญจมาศ (Chrysanthemum): บางพันธุ์สามารถแห้งแล้วคงรูปทรงและสีได้ดี

ดอกหญ้าต่างๆ: เช่น หญ้าหางกระรอก หญ้าแพมพัส แห้งง่ายและให้ Texture ที่สวยงาม

ดอกไม้ที่ควรหลีกเลี่ยง (มีปริมาณน้ำมาก กลีบบาง ช้ำง่าย):

ดอกทานตะวัน, ทิวลิป, ลิลลี่, เบญจมาศบางพันธุ์, ซากุระ, ดอกไม้ที่มีกลีบบางและช้ำง่าย เพราะอาจเหี่ยว ย่น หรือร่วงโรยไม่สวยงามเมื่อแห้ง


2. เลือกช่วงเวลาที่ดอกไม้บานเหมาะสม

ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตัดดอกไม้เพื่อนำมาทำดอกไม้แห้งคือ:

ดอกไม้ที่เริ่มบานเต็มที่ (Fully Bloomed but Not Over-Bloomed):

ควรเลือกดอกไม้ที่เพิ่งบานเต็มที่ หรือบานประมาณ 70-80% กำลังสวยงามที่สุด เพราะดอกไม้จะยังคงบานต่ออีกเล็กน้อยในขณะที่กำลังแห้ง

หากดอกไม้บานเต็มที่เกินไป หรือเริ่มโรยแล้ว กลีบดอกอาจจะร่วงง่าย หรือสีอาจจะจางลงมากเมื่อแห้ง

หากดอกไม้ยังตูมอยู่มาก อาจจะแห้งยากและไม่บานเต็มที่เมื่อแห้ง


3. สภาพของดอกไม้

ดอกไม้สดใหม่: ควรเลือกดอกไม้ที่สดใหม่ที่สุด ไม่มีรอยช้ำ ไม่มีโรคหรือแมลงกัดกิน เพราะรอยตำหนิเหล่านี้จะชัดเจนขึ้นเมื่อดอกไม้แห้ง

ไม่มีน้ำค้าง/ความชื้น: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าดอกไม้ไม่มีหยดน้ำค้าง หรือความชื้นเกาะอยู่บนกลีบดอกหรือใบ เพราะความชื้นจะทำให้ดอกไม้เน่าเสียก่อนที่จะแห้งสนิท

สีสันสดใส: เลือกดอกไม้ที่มีสีสันสดใสตามธรรมชาติ เพราะเมื่อแห้งแล้ว สีอาจจะจางลงเล็กน้อย หากเริ่มต้นจากดอกไม้ที่สีสดอยู่แล้ว ก็จะได้ดอกไม้แห้งที่มีสีสวยงามกว่า


4. การเตรียมดอกไม้เบื้องต้น

ก่อนนำไปเข้าสู่กระบวนการทำให้แห้ง ควรเตรียมดอกไม้ดังนี้:

ตัดแต่งก้าน: ตัดก้านดอกไม้ให้มีความยาวตามที่ต้องการ โดยปกติจะเหลือความยาวประมาณ 1-2 นิ้ว หรือตามความเหมาะสมกับวิธีการทำให้แห้ง

เด็ดใบส่วนเกินออก: เด็ดใบไม้ที่อยู่ส่วนล่างของก้านออกให้หมด โดยเฉพาะใบที่อาจจะจมอยู่ในน้ำ (หากเคยปักแจกันมาก่อน) เพื่อลดการคายน้ำและป้องกันการเน่าเสีย

ซับน้ำส่วนเกิน: หากดอกไม้มีความชื้นจากการล้างหรือน้ำค้าง ให้ซับน้ำส่วนเกินออกเบาๆ ด้วยกระดาษทิชชู


5. พิจารณาวิธีการทำให้แห้ง

ชนิดของดอกไม้และวิธีการทำให้แห้งมีความสัมพันธ์กัน

การแขวนกลับหัว (Air Drying): เหมาะสำหรับดอกไม้ที่มีก้านแข็งและกลีบหนา เช่น กุหลาบ ไฮเดรนเยีย ยิปโซ

การอบด้วยซิลิกาเจล (Silica Gel Drying): เหมาะสำหรับดอกไม้ที่ต้องการคงรูปทรงและสีสันไว้ให้มากที่สุด เช่น กุหลาบ ดอกไม้ที่มีกลีบละเอียดอ่อน

การทับในหนังสือ (Pressing): เหมาะสำหรับดอกไม้ที่มีกลีบบางและแบน เช่น ดอกไม้เล็กๆ ดอกหญ้า หรือกลีบดอกไม้

การใส่ใจในขั้นตอนการคัดเลือกดอกไม้เหล่านี้ จะช่วยให้คุณได้ดอกไม้แห้งที่สวยงาม คงทน และนำไปใช้ตกแต่งบ้านหรือทำของขวัญได้อย่างน่าประทับใจครับ








7
จัดฟันบางนา: การจัดฟันในผู้สูงอายุ สามารถทำได้หรือไม่ ?

อย่างที่หลายๆท่านอาจจะทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า การจัดฟันมักเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น เนื่องจากว่าคนส่วนใหญ่ยังมีทัศนคติเกี่ยวกับการจัดฟันว่า นอกจากจะเป็นกระบวนการทางทันตกรรมที่ช่วยให้ฟันที่ผิดปกติกลับมาเรียงตัวสวยงาม ยังถือได้ว่าเป็นแฟชั่นยอดนิยมในหมู่วัยรุ่นเป็นอย่างมากอีกด้วย และที่สำคัญการจัดฟันมักเป็นที่นิยมในช่วงอายุ 12 – 15 ปี เนื่องจากว่าเป็นช่วงที่เหมาะสม ในเรื่องของการรักษาที่ง่าย และได้ประสิทธิภาพสูง ต่างจากช่วงวัย 30 ขึ้นไป ที่การรักษาด้วยการจัดฟันนั้นจะยากขึ้นไปอีก แถมบางท่านยังอาจจะเขินอายที่จะต้องใส่อุปกรณ์ดัดฟัน แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น การจัดฟันสามารถทำได้ทุกช่วงอายุนั่นเอง

ในวันนี้จะขอมาแนะนำการจัดฟันในผู้สูงอายุให้ได้ทำความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นถึงข้อจำกัดทางอายุในการจัดฟัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไป


ข้อจำกัดในการจัดฟันของผู้สูงอายุ

ต้องขอบอกว่าการจัดฟันในช่วงที่มีอายุมาก อาจจะเกิดปัญหาเรื่องสุขภาพต่างๆที่ไม่แข็งแรงเหมือนในวัยเด็ก ซึ่งอาจจะมีข้อจำกัดในการจัดฟันหลายๆอย่างดังต่อไปนี้

– ไม่สามารถช่วยปรับเปลี่ยนโครงสร้างของใบหน้าได้

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้มีความเข้าใจหนึ่งว่า การจัดฟันนั้นจะช่วยเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าได้ จึงทำให้มีผู้สูงวัยจำนวนมาก ที่รักความสวยความงามมาทำการจัดฟันเพราะเหตุนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นผู้สูงวัยเมื่อทำการจัดฟัน จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของโครงหน้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าความเข้าใจแบบนี้จะผิด เพราะ หากว่ามาทำการจัดฟันตั้งแต่ในวัยเด็กเล็กๆในช่วงวัยกำลังเจริญเติบโต ก็จะสามารถทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนไปได้

แต่ถ้าหากว่าในวัยผู้สูงอายุมุ่งหวังที่จะจัดฟันเพื่อนเปลี่ยนโครงสร้างของใบหน้าจริงๆ แนะนำว่าควรจัดฟันคู่กับการทำศัลยกรรมผ่าตัดกระดูกขากรรไกร

– การเคลื่อนตัวเข้าที่ของฟันช้า

หากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ผู้ที่มีอายุมากจะใช้เวลาในการจัดฟันที่นานมาก เนื่องจากว่าในวัย 30 ปีขึ้นไป โครงสร้างของกระดูกในส่วนต่างๆนั้นเจริญเติบโตเต็มที่มาเป็นระยะเวลานานแล้ว การเคลื่อนที่ต่างๆจึงเป็นไปได้อย่างยากและช้า เมื่อเทียบกับในวัยเด็กที่มาทำการจัดฟันที่กำลังอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต กระดูกส่วนต่างๆจึงทำการเคลื่อนที่เคลื่อนย้ายไปยังตำแหน่งที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็วกว่ามาก

แต่ถ้าหากว่าผู้สูงอายุต้องการรักษาสุขภาพช่องปากและฟันด้วยกระบวนการจัดฟันจริงๆแล้วล่ะก็ ควรต้องใจเย็นๆเพราะกว่าจะเห็นผลคงต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรเลย

– สุขภาพช่องปากเสื่อมโทรมมากกว่า

ในวัยผู้สูงอายุที่ช่องปากผ่านการใช้งานมาเป็นระยะเวลาที่นาน ทำให้ฟันอาจจะไม่มีความแข็งแรงเท่ากับในวัยเด็ก หรือวัยหนุ่มสาว เมื่อทำการจัดฟันไปแล้วจำเป็นที่จะต้องดูแลช่องปากอย่างจริงจังกว่าปกติมาก เพราะมีโอกาสที่สุขภาพฟันจะเสื่อมโทรมนั้นมีมากกว่าในวัยเด็กอย่างแน่นอน และหากว่าฟันมีปัญหาในขณะจัดฟัน จะยิ่งทำให้เสียเวลามากขึ้นกว่าเดิมในการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นอีกด้วย

– ผู้สูงอายุมีข้อจำกัดของร่างกายมากกว่าวัยเด็ก

ต้องเข้าใจตามหลักการธรรมชาติว่าร่างกายเมื่อใช้ไปนานๆก็อาจจะทำให้มีโรคต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งหากว่าผู้สูงวัยที่ต้องการเข้ารับการจัดฟันแต่เป็นโรคเกี่ยวกับฟันหรือเหงือกอยู่ในขณะนั้น ก็ต้องทำการรักษาโรคในช่องปากต่างๆให้หายหมดเสียก่อนถึงจะสามารถทำการจัดฟันได้

แต่ถ้าหากว่าผู้สูงวัยที่จะทำการจัดฟันดูแลสุขภาพกายและช่องปากเป็นอย่างดี ก็ไม่มีปัญหาอะไรในการเข้ารับการรักษาในระยะเวลาที่กำหนด แต่ในผู้สูงวัยจะไม่สามารถกระตุ้นกระดูกขากรรไกรแบบการจัดฟันในวัยเด็กได้

– การปรับตัวระหว่างการจัดฟันยาก

อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าการจัดฟันนั้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเคี้ยวอาหารที่ยากขึ้น การพูดคุยที่อาจจะไม่ชัด ความรู้สึกตึง และปวดฟัน ซึ่งอาการต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนี้ หากเป็นในวัยเด็กจะสามารถปรับตัวได้รวดเร็วกว่าในวัยผู้สูงอายุ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือข้อจำกัดเบื้องต้นของผู้สูงวัยที่ต้องการจัดฟัน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากว่าดูแลสุขภาพช่องปากเป็นอย่างดี พบทันตแพทย์เป็นประจำ ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหาในการจัดฟันนั่นเอง

8
จุดพื้นที่สำคัญที่ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนในโรงงาน

จากการวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ "จุดพื้นที่สำคัญที่ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนในโรงงาน" และข้อมูลที่ผมมี ผมสามารถให้ข้อมูลได้ดังนี้ครับ:

การติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ในโรงงานอุตสาหกรรม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการอุณหภูมิภายในอาคาร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุนพลังงาน และสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับบุคลากร การเลือก "จุดพื้นที่สำคัญ" ในการติดตั้งฉนวนจะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงสุดและแก้ไขปัญหาความร้อนได้อย่างตรงจุด

นี่คือจุดพื้นที่สำคัญที่ควรพิจารณาติดตั้งฉนวนกันความร้อนในโรงงาน:

1. หลังคา (Roof)
ความสำคัญสูงสุด: หลังคาเป็นส่วนที่รับแสงแดดโดยตรงและตลอดทั้งวันมากที่สุดในโรงงาน โดยเฉพาะหลังคาประเภทเมทัลชีทหรือแผ่นเหล็ก ซึ่งสามารถดูดซับความร้อนและแผ่รังสีลงสู่ภายในอาคารได้อย่างมหาศาล ทำให้เกิดภาวะ "เรือนกระจก" ขนาดใหญ่

ปัญหาที่พบหากไม่มีฉนวน: อุณหภูมิภายในโรงงานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พนักงานร้อนจัด ระบบระบายอากาศทำงานหนัก เครื่องจักรโอเวอร์ฮีท สินค้าเสียหาย

ประเภทฉนวนที่แนะนำ:

ฉนวนใยแก้ว (Fiberglass Insulation): นิยมใช้บุใต้แผ่นเมทัลชีท หรือเป็นฉนวนในระบบ Sandwich Panel มักมีแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์เคลือบเพื่อสะท้อนความร้อน

ฉนวนพียูโฟม (Polyurethane Foam - PU Foam): สามารถพ่นเคลือบบน/ใต้หลังคาได้โดยตรงแบบไร้รอยต่อ มีค่าการนำความร้อนต่ำที่สุดและป้องกันการรั่วซึมได้ดี

แผ่นสะท้อนความร้อน (Radiant Barrier): ใช้ติดตั้งใต้หลังคาเพื่อสะท้อนรังสีความร้อนออกไป ก่อนที่ความร้อนจะส่งผ่านเข้าสู่โครงสร้างหลัก

2. ผนัง (Walls)
ความสำคัญ: ผนังโรงงาน โดยเฉพาะผนังด้านที่รับแสงแดดโดยตรงในช่วงบ่าย หรือผนังที่ติดกับแหล่งกำเนิดความร้อนภายนอก สามารถถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ภายในได้เช่นกัน

ปัญหาที่พบหากไม่มีฉนวน: ความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายใน ทำให้พื้นที่ใกล้ผนังร้อน อุณหภูมิโดยรวมของโรงงานสูงขึ้น

ประเภทฉนวนที่แนะนำ:

ฉนวนใยแก้ว (Fiberglass Insulation): บุผนัง หรือใช้เป็นแกนกลางในระบบผนังสำเร็จรูป (Sandwich Wall Panel)

ฉนวนใยหิน (Mineral Wool): สำหรับผนังที่ต้องการการกันความร้อนและเสียงเป็นพิเศษ หรือผนังติดแหล่งกำเนิดความร้อนสูง

ฉนวนพียูโฟม (PU Foam): ทั้งแบบแผ่นสำเร็จรูป หรือแบบพ่น สามารถใช้กับผนังโรงงานได้ดีเยี่ยม

3. ท่อและถังเก็บสารที่มีอุณหภูมิสูง/ต่ำ (High/Low Temperature Pipes & Tanks)
ความสำคัญ: ในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง มีระบบท่อไอน้ำ ท่อส่งลมร้อน/ลมเย็น หรือถังเก็บสารเคมีที่มีอุณหภูมิสูงมาก หรือต่ำมาก การไม่ติดตั้งฉนวนจะทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานมหาศาล

ปัญหาที่พบหากไม่มีฉนวน:

สูญเสียพลังงาน: ความร้อนรั่วไหลจากท่อร้อน หรือความเย็นรั่วไหลจากท่อเย็น ทำให้ระบบต้องทำงานหนักขึ้น สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง/ไฟฟ้า

อันตรายต่อพนักงาน: พื้นผิวท่อที่ร้อนจัดอาจทำให้เกิดแผลไหม้หากสัมผัสโดน

ปัญหาการควบแน่น: ท่อเย็นไม่มีฉนวนจะเกิดหยดน้ำเกาะ ทำให้เกิดสนิม เชื้อรา และความเสียหายต่อพื้นที่โดยรอบ

ประเภทฉนวนที่แนะนำ:

งานทนอุณหภูมิสูง:

ฉนวนใยหิน (Mineral Wool): สำหรับท่อไอน้ำ ท่อลมร้อน อุณหภูมิสูงปานกลางถึงสูงมาก

ฉนวนแคลเซียมซิลิเกต (Calcium Silicate): สำหรับท่อและถังที่ต้องการความแข็งแรง ทนทาน และทนความร้อนสูง

ฉนวนเซรามิกไฟเบอร์ (Ceramic Fiber): สำหรับงานที่อุณหภูมิสูงจัดพิเศษ เช่น เตาเผา เตาหลอม

งานอุณหภูมิต่ำ/ระบบปรับอากาศ:

ฉนวนยางสังเคราะห์ (Elastomeric Rubber Insulation / NBR Foam): สำหรับท่อน้ำเย็น ท่อสารทำความเย็น ป้องกันการควบแน่นได้ดีเยี่ยม ยืดหยุ่นสูง

ฉนวนใยแก้ว (Fiberglass Insulation): สำหรับท่อลมเย็นขนาดใหญ่ หรือถังน้ำเย็น

ฉนวนพียูโฟม (PU Foam): สำหรับห้องเย็น ถังเก็บความเย็น หรือท่อที่มีขนาดใหญ่มาก

4. เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สร้างความร้อน (Heat-Generating Machinery & Equipment)
ความสำคัญ: เครื่องจักรบางประเภท เช่น เตาอบ เตาหลอม คอมเพรสเซอร์ หรือหม้อไอน้ำ สร้างความร้อนจำนวนมากที่แผ่ออกมาสู่พื้นที่ทำงาน

ปัญหาที่พบหากไม่มีฉนวน: อุณหภูมิโดยรอบเครื่องจักรสูงมาก เป็นอันตรายต่อพนักงาน ทำให้เครื่องจักรโอเวอร์ฮีท สิ้นเปลืองพลังงาน

ประเภทฉนวนที่แนะนำ:

ฉนวนใยหิน (Mineral Wool): สำหรับบุผนังเครื่องจักร เตาอบ

ฉนวนเซรามิกไฟเบอร์ (Ceramic Fiber): สำหรับเตาหลอม อุปกรณ์ที่อุณหภูมิสูงจัด

ฉนวนแคลเซียมซิลิเกต (Calcium Silicate): สำหรับหุ้มตัวถังที่แข็งแรง

5. ห้องเย็น/คลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (Cold Rooms / Temperature-Controlled Warehouses)
ความสำคัญ: เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่ตามที่กำหนด สำหรับจัดเก็บสินค้าหรือวัตถุดิบที่ไวต่ออุณหภูมิ

ปัญหาที่พบหากไม่มีฉนวน: สูญเสียความเย็นมหาศาล สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าอย่างมาก สินค้าเสียหาย

ประเภทฉนวนที่แนะนำ:

ฉนวนพียูโฟม (PU Foam): นิยมใช้เป็นผนังสำเร็จรูป (Sandwich Panel) หรือพ่นเพื่อสร้างห้องเย็นโดยเฉพาะ มีค่า R-value สูงสุด

ฉนวน EPS Foam (Expanded Polystyrene Foam): นิยมใช้ใน Sandwich Panel สำหรับห้องเย็นที่ไม่ต้องการอุณหภูมิต่ำมากนัก และมีราคาประหยัด

การประเมินและเลือกติดตั้งฉนวนกันความร้อนในจุดสำคัญเหล่านี้ จะช่วยให้โรงงานสามารถจัดการกับปัญหาความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่าย และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนค่ะ

9
บริการทำความสะอาด: เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำขจัดกลิ่นเหม็นกวนใจ สกปรกแค่ไหนก็สะอาดกริ๊บ!

เรื่องของ “ห้องน้ำ” ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเหม็น กลิ่นไม่พึงประสงค์ รวมถึงคราบสิ่งสกปรกตกค้าง แบคทีเรียสะสม ที่ยิ่งนานวันยิ่งปล่อยไม่ทำความสะอาดก็ยิ่งทวีคูณความสกปรก  มีคราบและกลิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เพราะแค่เอ่ยถึงการทำความสะอาดห้องน้ำก็ทำเอาหลายคนรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนแรงและขี้เกียจขึ้นมาทันที

ห้องน้ำสกปรก อันตรายมากกว่าที่คุณคิด

การทำความสะอาดห้องน้ำ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความสะอาดบ้านเลยทีเดียว เพราะส่วนใหญ่แล้ว ในห้องน้ำจะมากไปด้วยเชื้อโรคที่เกิดจากสิ่งต่างๆ เช่น ละอองอุจจาระ, ปัสสาวะ, ความอับชื้น และคราบต่างๆ ที่จะส่งผลให้เชื้อโรค เรื้อแบคทีเรีย ไวรัสสามารถฝังตัวอยู่ภายในห้องน้ำได้เป็นระยะเวลานาน

เชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย และไวรัสต่างๆ ภายในห้องน้ำ ส่งผลเสียมากกว่าที่คุณคิด เพราะเมื่อคุณเข้าห้องน้ำและได้สัมผัสกับพื้นที่โดยรอบ สุขภัณฑ์และอื่นๆ ในห้องน้ำที่มีเหล่าเชื้อโรค ไวรัส หรือแบคทีเรียเกาะติดอยู่โดยไม่ได้ล้างมือ และเมื่อนำมามาใช้ในการหยิบจับนั่นนี่ ข้าวของเครื่องใช้และอาหาร ขนมต่างๆ ก็จะทำให้คุณเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่รุนแรง เกิดกระทบด้านสุขภาพ

ในเมื่อห้องน้ำสกปรกส่งผลต่อสุขภาพมากมาย วันนี้จึงได้รวมวิธีการทำความสะอาดห้องน้ำให้สะอาดหมดจด ปราศจากกลิ่นเหม็นกวนใจ เคลียร์เชื้อฝังลึกคราบฝังแน่นได้แบบเอาอยู่

7 วิธีทำความสะอาดห้องน้ำให้สะอาด ไร้กลิ่น

การทำความสะอาดห้องน้ำ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องหมั่นใส่ใจและดูแลอยู่เสมอเลยทีเดียว เพื่อที่จะช่วยป้องกันเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ ให้ห้องน้ำของคุณสวยงาม มีสภาพที่ดี และสะอาด แล้วจะมีเคล็ดลับการทำความสะอาดอย่างไรบ้าง เราได้รวมวิธีการทำความสะอาดห้องน้ำส่วนต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถนำไปเป็นแนวทางในการทำความสะอาดอย่างมือโปรมาแนะนำ

การทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์

โถสุขภัณฑ์เป็นองค์ประกอบสำคัญของห้องน้ำที่ใช้สำหรับการปัสสาวะหรือถ่ายหนัก และแน่นอนว่าเป็นที่หมักหมมของแบคทีเรีย เชื้อโรคต่างๆ จากการปนเปื้อนของสิ่งปฏิกูลด้วยเช่นเดียวกัน การปล่อยโถสุขภัณฑ์ไว้เป็นระยะเวลานาน ใช้แล้วไม่ทำความสะอาด นอกจากจะเต็มไปด้วยเชื้อโรค สิ่งสกปรกตกค้างแล้ว ยังมาพร้อมกับกลิ่นเหม็น กลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ชวนปวดหัวแบบสุดๆ เลยทีเดียว

เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำ

อย่างไรก็ตาม การปล่อยโถสุขภัณฑ์ทิ้งไว้นานๆ และเมื่อกลับมาทำความสะอาดก็ทำเอาหลายคนไปไม่เป็นจากคราบที่ฝังแน่น โดยเรามีทริคดีๆ มาแนะนำ ด้วยการลองใช้น้ำส้มสายชูมาผสมกับน้ำเปล่าเทใส่ไว้ในขวดสเปรย์หรือฟ็อกกี้ หลังจากนั้นให้คุณนำมาฉีดให้ทั่วบริเวณโถสุขภัณฑ์ ล้างออกด้วยน้ำเปล่า เพียงเท่านี้คราบสิ่งสกปรกตกค้างก็จะค่อยๆ หลุดลอกออกไป หรืออีกหนึ่งวิธีที่แนะนำเช่นเดียวกัน นั่นคือการนำเบกกิ้งโซดาผสมกับกับน้ำเปล่าหรือจะเทราดที่บริเวณโถส้วมที่มีคราบฝังแน่นเกาะติด หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 5 – 10 นาที แล้วขัดด้วยแปรงขัดห้องน้ำ ราดตามด้วยน้ำเปล่า รับรองเลยว่าคราบสกปรกจะหายเกลี้ยงแน่นอน

อีกหนึ่งวิธีที่ก็คือการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์โดยเฉพาะอย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนการเทน้ำยาและทำความสะอาดอย่าลืมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันกลิ่นและสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ด้วยนะคะ

การทำความสะอาดฝักบัว

ฝักบัวเป็นหนึ่งส่วนประกอบของห้องน้ำที่หลายๆ คนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ช่วยชำระล้างร่างกายของคุณให้สะอาดหมดจด แต่เมื่อผ่านไปนานๆ คราบสกปรกที่เกาะติดซึ่งอาจมาจากน้ำประปาที่ไม่สะอาด กลายเป็นตะกรันหรือคราบสีขาวเหลืองเกาะติดอยู่ นอกจากเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และเชื้อแบคทีเรียแล้ว ยังทำให้ฝักบัวอาบน้ำอุดตันอีกด้วย ดังนั้น แนะนำให้คุณใช้วิธีง่ายๆ ด้วยการใช้ถุงพลาสติกมาห่อที่บริเวณหัวฝักบัว หลังจากนั้นให้คุณเทน้ำส้มสายชูเข้าไปภายใน ก่อนที่จะปิดปากถุงไว้ราวๆ 15 – 30 นาที

สำหรับการทำความสะอาดคราบสิ่งสกปรกที่เกาะติดรอบๆ ของฝักบัว แนะนำให้คุณใช้แปรงสีฟันชุบน้ำสบู่ก่อนจะขัดให้ทั่วบริเวณที่คราบฝั่งแน่นหรือจะลองเป็นเปลือกมะนาวก็ได้เช่นกัน จะช่วยให้ฝักบัวสะอาดใช้งานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การทำความสะอาดก๊อกน้ำ

การทำความสะอาดก๊อกน้ำ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการทำความสะอาดห้องน้ำที่สำคัญ เพราะเราจะต้องเปิดและปิด ใช้งานก๊อกน้ำอยู่เสมอ ดังนั้น จึงควรทำความสะอาดให้ดูสวยงาม แววเงา และไม่มีคราบ โดยแนะนำให้คุณใช้แปรงสีฟันเก่าๆ ขัดให้ทั่ว แล้วเช็ดด้วยทิชชู่เปียกเพื่อทำความสะอาดให้หมดจดยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มทริคในการทำความสะอาดด้วยการใช้เปลือกมะนาว เปลือกส้ม มาใช้สำหรับกำจัดคราบสกปรกก็ได้เช่นกัน

การทำความสะอาดพื้นห้องน้ำ

เมื่อกล่าวถึงเคล็ดลับการทำความสะอาดห้องน้ำ แน่นอนว่าการทำความสะอาดพื้นห้องน้ำเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด พื้นห้องน้ำที่ปนเปื้อนทั้งคราบสบู่ คราบแชมพู และสิ่งสกปรกต่างๆ แนะนำให้ทำความะอาดโดยใช้แปรงขัดห้องน้ำชนิดที่มีด้ามจับเพื่อความสะดวก โดยสามารถทำความสะอาดได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ การใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างห้องน้ำที่มีส่วนผสมสำหรับการกำจัดคราบฝังลึกในห้องน้ำและพื้นห้องน้ำโดยเฉพาะ

นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ทริคง่ายๆ อย่างการใช้ น้ำส้มสายชู ราดให้ทั่วบริเวณ ทิ้งไว้ราวๆ 10 – 15 นาที หลังจากนั้นให้ขัดด้วยแปรงขัดห้องน้ำ แล้วราดทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า จะช่วยให้พื้นห้องน้ำของคุณสะอาดเอี่ยมอ่องอย่างแน่นอน

การทำความสะอาดผนังห้องน้ำ

ผนังห้องน้ำมักจะมีคราบสิ่งสกปรกต่างๆ เกาะติดอยู่ แนะนำให้คุณใช้ผ้าชุบน้ำสบู่ เช็ดให้ทั่วบริเวณเพื่อทำความสะอาดโดยรอบ ในกรณีที่มีคราบเกาะติดแน่น อาจจะลองเปลี่ยนเป็นน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำแล้วใช้ผ้าชุบขัดให้ทั่วบริเวณ ทิ้งไว้ราวๆ 10 – 15 นาที ราดออกด้วยน้ำเปล่า รับรองเลยว่าผนังห้องน้ำของคุณจะสะอาดหมดจด ดูใหม่อย่างแน่นอน

การทำความสะอาดอ่างล้างหน้า

การทำความสะอาดอ่างล้างหน้า เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนของการทำความสะอาดห้องน้ำ ที่อาจจะดูเหมือนง่ายแต่ก็เป็นจุดที่มีสิ่งสกปรกและเชื้อโรคเกาะติดมากเช่นเดียวกัน โดยแนะนำให้คุณใช้น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำหรือผลิตภัณฑ์สำหรับการขจัดคราบมาจัดการขัดให้ทั่ว หรือจะใช้น้ำส้มสายชูราดและเช็ดให้ทั่วบริเวณ ตามด้วยน้ำสบู่อ่อนขัดและราดไปอีกรอบ ตามด้วยน้ำเปล่า ก็จะช่วยให้คุณขจัดคราบได้หมดจดแน่นอน

อุปกรณ์ทำความสะอาดห้องน้ำที่ต้องมี

หลังจากที่อ่านรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับวิธีทำความสะอาดห้องน้ำ แน่นอนว่าคุณจะเห็นได้ถึงความสำคัญของอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกและรวดเร็ว เป็นเครื่องมือช่วยป้องกันและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ทำความสะอาดมากยิ่งขึ้น แล้วมีอุปกรณ์อะไรบ้างที่ต้องมี ไปดูคำแนะนำกัน

เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำ

1.    ผลิตภัณฑ์น้ำยาทำความสะอาด

ในปัจจุบันน้ำยาล้างห้องน้ำจะแบ่งออกเป็นหลากหลายประเภทเพื่อการใช้งานที่ตอบโจทย์ โดยน้ำยาที่ควรซื้อสำหรับการทำความสะอาดห้องน้ำ เช่น น้ำยาขัดพื้นห้องน้ำ, น้ำยาฆ่าเชื้อ, น้ำยาเช็ดกระจก, น้ำยาแก้ส้วมต้น น้ำยาทำความสะอาดชักโครก หรือน้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์โดยเฉพาะ เป็นต้น โดยแนะนำให้คุณทำการศึกษาเกี่ยวกับส่วนผสมของน้ำยาทำความสะอาด คุณภาพ ยี่ห้อ และอื่นๆ ให้ละเอียด สำหรับคนที่แพ้ง่าย อาจเลือกผลิตภัณฑ์แบบออร์แกนิคก็ได้

2.    แปรงขัดห้องน้ำ แปรงขัดโถสุขภัณฑ์

แปรงขัดห้องน้ำควรเตรียมให้พร้อมสำหรับการขัดและเช็ดสุขภัณฑ์และบริเวณรอบๆ ได้อย่างดีที่สุด โดยแนะนำให้คุณเลือก แปรงสำหรับการขัดพื้นห้องน้ำที่เป็นด้ามจับยาว รวมถึงแปรงขนาดเล็กๆ เพื่อเก็บรายละเอียดโดยรอบ และขัดโถสุขภัณฑ์

3.    ผ้าไมโครไฟเบอร์

ผ้าไมโครไฟเบอร์ เป็นผ้าที่มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดและเช็ดสิ่งต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ซึมซับน้ำได้ดีและเก็บรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม

4.    ผ้าเช็ดอเนกประสงค์

ควรมีผ้าเช็ดอเนกประสงค์ติดไว้ในการทำความสะอาดห้องน้ำ เพื่อให้คุณสามารถเช็ดหรือนำมาชุบกับน้ำยาทำความสะอาด น้ำสบู่ หรือทริคการทำความสะอาดอย่าง การใช้น้ำส้มสายชู มะนาวหรือน้ำสบู่ เป็นต้น

5.    ถุงมือยาง

การทำความสะอาดห้องน้ำจะต้องสัมผัสกับคราบสกปรกและน้ำยาทำความสะอาด เพื่อป้องกันสารเคมีและสิ่งสกปรกปนเปื้อนต่างๆ ควรที่จะสวมถุงมือยางทุกครั้งที่ทำความสะอาด

6.    หน้ากากอนามัย

การทำความสะอาดห้องน้ำจะต้องมีการใช้น้ำยาต่างๆ ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจจะเกิดอันตรายแก่ผู้ใช้งานได้ ดังนั้น ควรที่จะสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง

7.    ขวดสเปรย์หรือฟ็อกกี้

ขวดสเปรย์หรือฟ็อกกี้ เป็นตัวช่วยในการผสมน้ำยาทำความสะอาด และใช้สำหรับน้ำยาทำความสะอาดได้สะดวกขึ้น

8.    ยางรีดน้ำ

ยางรีดน้ำเป็นตัวช่วยอย่างดีสำหรับการทำความสะอาดพื้นและกระจก สามารถใช้งานได้ง่ายและอำนวยความสะดวกได้ดี

การทำความสะอาดห้องน้ำเป็นเรื่องสำคัญที่หลายๆ คนมักจะมองข้ามไป แนะนำให้หมั่นทำความสะอาดห้องน้ำเป็นประจำ 1 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ห้องน้ำของคุณสะอาดหมดจด ไร้สิ่งสกปรก และไม่มีคราบฝังแน่นที่ทำความสะอาดยาก ช่วยให้ห้องน้ำน่าใช้ ดูใหม่สะอาด มีกลิ่นหอมสดชื่น ไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์คอยกวนใจ และถ้าใครอยากเพิ่มกลิ่นหอมๆ ขึ้นไปอีกขั้น ก็สามารถวางก้านไม้หอม หรือเจลปรับอากาศช่วยดูดซับกลิ่นเหม็น แล้วแทนที่ด้วยกลิ่นที่ชอบก็ได้เช่นกัน

10
โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: ท่อน้ำดี (bile ducts)

ท่อน้ำดี (bile ducts) เป็นท่อที่เชื่อมต่อระหว่างตับ ถุงน้ำดี และลำไส้เล็กส่วนต้น

การอักเสบของท่อน้ำดีมักเป็นภาวะแทรกซ้อนจากภาวะอุดกั้นของก้อนนิ่ว หรือก้อนเนื้องอก โรคนี้ถือเป็นภาวะร้ายแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เป็นโลหิตเป็นพิษเสียชีวิตได้

สาเหตุ

การอักเสบของท่อน้ำดีมักมีสาเหตุมาจากการอุดกั้นของท่อน้ำดี ซึ่งส่วนมากเนื่องมาจากมีก้อนนิ่วอุดกั้น ส่วนน้อยอาจมีการอุดกั้นเนื่องจากก้อนเนื้องอกหรือมะเร็ง หรือสาเหตุอื่น ๆ ทำให้มีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบของท่อน้ำดี ซึ่งมักจะลุกลามขึ้นไปถึงท่อน้ำดีเล็ก ๆ ที่อยู่ในตับ ซึ่งเรียกว่า ท่อตับ (hepatic ducts)

อาการ

มีไข้สูง หนาวสั่นคล้ายมาลาเรีย ตาเหลือง ตัวเหลือง ปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงข้างขวาอาการปวดท้องอาจมีลักษณะปวดรุนแรงเป็นพัก ๆ คล้ายนิ่วน้ำดี

ภาวะแทรกซ้อน

ฝีตับจากแบคทีเรีย

ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีภาวะช็อก โลหิตเป็นพิษ ปอดอักเสบ การหายใจล้มเหลว โรคหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจล้มเหลวได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและตรวจพบ ไข้ ตาเหลือง กดเจ็บตรงบริเวณชายโครงขวา และอาจตรวจพบตับโต

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เพาะเชื้อจากเลือด อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการและรักษาแบบประคับประคอง (เช่น ยาลดไข้ ให้น้ำเกลือ เป็นต้น) ให้ยาปฏิชีวนะ และทำการผ่าตัด

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูง หนาวสั่น เสียดแน่นตรงใต้ลิ้นปี่ หรือปวดตรงชายโครงขวา ควรไปพบ แพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นท่อน้ำดีอักเสบ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

โดยการขจัดปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของท่อน้ำดี เช่น เมื่อพบก้อนนิ่ว หรือก้อนเนื้องอก ควรทำการผ่าตัดออก

ข้อแนะนำ

โรคท่อน้ำดีอักเสบจัดว่าเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรง มีอัตราตายค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยสูงอายุ หรือเป็นตับแข็ง ผู้ที่มีอาการไข้สูง หนาวสั่น และปวดท้องรุนแรง ซึ่งชวนสงสัยว่าเป็นโรคนี้ ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

11
หมอออนไลน์: หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ (Temporal arteritis/Giant cell arteritis)

หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ (temporal arteritis) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "หลอดเลือดแดงขนาดใหญ่อักเสบ (giant cell arteritis)" หมายถึงการอักเสบของผนังหลอดเลือดแดงขนาดกลางและใหญ่ ซึ่งมักเกิดกับหลอดเลือดแดงที่บริเวณคอและศีรษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดเลือดแดงที่บริเวณขมับ (temporal artery) จึงนิยมเรียกว่า "หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ"

หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ เป็นโรคที่รุนแรงถึงทำให้ตาบอดได้ นับว่าเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างเร่งด่วน

โรคนี้พบได้ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่พบในคนอายุมากกว่า 50 ปี พบมากในช่วงอายุ 65-75 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า

ผู้ที่มีญาติสายตรง (พ่อแม่หรือญาติพี่น้อง) เป็นโรคนี้ หรือผู้ที่มี "กลุ่มอาการปวดตึงกล้ามเนื้อหลายส่วน" (polymyalgia rheumatic)* มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป

*มีอาการปวดและตึงกล้ามเนื้อพร้อมกันหลายส่วนของร่างกาย เนื่องจากเกิดการอักเสบของข้อต่อกระดูกตรงบริเวณคอ ไหล่ ต้นแขน และสะโพก อันเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเองโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นโรคที่พบได้น้อย และพบในคนอายุมากกว่า 50 ปี "กลุ่มอาการปวดตึงกล้ามเนื้อหลายส่วน" กับโรคหลอดเลือดแดงขมับอักเสบมักพบร่วมกันได้บ่อย

สาเหตุ

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง (autoimmune reaction) กล่าวคือ ร่างกายเกิดมีภูมิคุ้มกันที่ไปทำปฏิกิริยาต่อผนังหลอดเลือดของตัวเอง ทำให้ผนังหลอดเลือดแดงอักเสบ บวม ท่อหลอดเลือดตีบ เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้น้อยลง

แม้ว่าโรคนี้จะมีอาการแสดงชัดเจนปรากฏที่บริเวณขมับเนื่องมาจากหลอดเลือดแดงขมับอักเสบ แต่การอักเสบเกิดกับหลอดเลือดแดงขนาดกลางและใหญ่ได้ทุกส่วน ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดอาการตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายร่วมกับอาการปวดและเจ็บบริเวณขมับ

ปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเองดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น การติดเชื้อ)

อาการ

มีอาการปวดศีรษะที่บริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว หรือบางรายอาจเกิดพร้อมกันทั้งสองข้าง อาการปวดมักเกิดขึ้นฉับพลันรุนแรง หรืออาจค่อย ๆ ปวดแรงขึ้นทีละน้อย มีลักษณะปวดตุบ หรือปวดหน่วง ๆ หรือปวดแสบปวดร้อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ป่วยจะรู้สึกว่าเป็นการปวดศีรษะที่รุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมักจะปวดมากจนทำให้นอนสะดุ้งตื่นหรือนอนไม่หลับ

มักจะสังเกตเห็นว่า บริเวณขมับข้างที่ปวดมีเส้นปูดขึ้น เวลาเอามือไปกดถูกจะรู้สึกเจ็บ ซึ่งเป็นอาการแสดงของหลอดเลือดแดงขมับอักเสบ

ผู้ป่วยมักรู้สึกปวดเจ็บหนังศีรษะเวลาหวีผม สวมหมวก สวมแว่นตา หรือนอนหนุนหมอน และอาจมีอาการปวดเมื่อยกรามเวลาเคี้ยวของที่เหนียว ๆ (เช่น เนื้อสัตว์ หมากฝรั่ง) หรือพูดนาน ๆ เนื่องมาจากหลอดเลือดแดงขากรรไกรอักเสบและตีบ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้ขาดเลือดไปเลี้ยง

อาการปวดศีรษะมักจะเป็นรุนแรง เรื้อรังไม่หาย หรืออาจทุเลาเพียงชั่วคราว แล้วกลับมากำเริบใหม่

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดไหล่ คอ ต้นแขน ปวดสะโพก ซึ่งเป็นอาการของ "กลุ่มอาการปวดตึงกล้ามเนื้อหลายส่วน" (polymyalgia rheumatic) ร่วมด้วย

ผู้ป่วยอาจมีไข้ต่ำ ๆ เหงื่อออกตอนกลางคืน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดร่วมด้วย หรือบางรายอาจมีอาการเหล่านี้โดยไม่มีอาการปวดศีรษะร่วมด้วยก็ได้

นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น มีอาการปวดร้าวไปที่ตา ตาพร่ามัว หนังตาตก เห็นภาพซ้อน (เนื่องจากกล้ามเนื้อกลอกลูกตาอ่อนแรงเพราะขาดเลือด) ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ลิ้นชา หรือปวดเมื่อย ไอ เจ็บคอ เสียงแหบ ปวดหู หูตึงหรือได้ยินไม่ชัด หูอื้อหรือมีเสียงในหู เป็นต้น

หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษา บางรายอาจมีอาการตามืดบอด (มองไม่เห็นอย่างเฉียบพลัน แบบบางส่วนหรือทั้งหมด) ตามมา

ภาวะแทรกซ้อน

เนื่องจากมีการอักเสบของหลอดเลือดแดงขนาดกลางและใหญ่หลายส่วนในร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษา หลอดเลือดแดงอาจเกิดความผิดปกติ (ตีบตันหรือโป่งพอง) อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้

ที่พบได้บ่อยคือ อาการตาบอด เนื่องจากหลอดเลือดตาอักเสบ และตีบ ทำให้ประสาทตาขาดเลือดไปเลี้ยง ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยไม่มีอาการปวดตา ส่วนใหญ่เกิดที่ตาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง ส่วนน้อยอาจเกิดพร้อมกันทั้งสองข้าง ทำให้ตาข้างนั้นบอดอย่างถาวร (มีรายงานการศึกษาว่า พบได้ประมาณร้อยละ 20-50 ของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา)

ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจพบได้ อาทิ

    การอักเสบของหลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) ทำให้เกิด ภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง หรือ ภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ มีอันตรายถึงเสียชีวิตได้
    การอักเสบของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดโรคหัวใจขาดเลือด ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวาย
    การอักเสบของหลอดเลือดสมอง ทำให้หลอดเลือดสมองตีบ เกิด โรคอัมพาตครึ่งซีก ความจำเสื่อม หรือเกิดอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน
    การอักเสบของหลอดเลือดส่วนปลาย ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (peripheral artery disease) ได้แก่ หลอดเลือดแดงแขนตีบ หลอดเลือดแดงขาตีบ
    หลอดเลือดแดงหลักของจอตาอุดตัน

การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยเบื้องต้นจากการซักถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และตรวจร่างกายพบสิ่งผิดปกติ ที่สำคัญคือ ตรวจพบหลอดเลือดแดงที่บริเวณขมับข้างที่ปวด มีลักษณะเป็นเส้นปูด แข็งเป็นลำ ใช้มือกดจะรู้สึกเจ็บ และชีพจรเต้นเบาลงหรือคลำไม่ได้

อาจพบว่า การใช้มือลูบหนังศีรษะจะทำให้รู้สึกปวด หรือใช้มือกดหลอดเลือดแดงที่คอจะมีอาการเจ็บ หรือใช้เครื่องฟังตรวจที่หลอดเลือดแดงที่คอจะได้ยินเสียงฟู่ (bruit)

อาจตรวจพบความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ไข้ น้ำหนักลด ชีพจรที่ข้อมือ (radial pulse) หรือหลังเท้า (dorsalis pedis) เต้นเบาลงหรือคลำไม่ได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ การตรวจตาด้วยเครื่องมือต่าง ๆ อาจพบมีความผิดปกติของหลอดเลือดในลูกตา จอตา และขั้วประสาทตา

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy) คือการตัดชิ้นเนื้อของหลอดเลือดนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (พบเซลล์ที่อักเสบเป็นเซลล์ตัวใหญ่หรือ giant cell ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโรคว่า "Giant cell arteritis" นั่นเอง) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโรคนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน (ทำให้ตาบอดได้ฉับพลัน) หากแพทย์ตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นพบว่าอาการเข้าได้กับโรคนี้ ก็อาจทำการรักษาก่อนที่จะทำการตรวจหรือรอผลยืนยันของชิ้นเนื้อ

การตรวจเลือดจะพบค่าอีเอสอาร์ (ESR/erythrocyte sedimentation rate) หรือ CRP (C-reactive protein) ขึ้นสูงกว่าปกติ ซึ่งบ่งบอกว่ามีการอักเสบของหลอดเลือด

นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัยและการติดตามผลการรักษา เช่น การถ่ายภาพการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (doppler ultrasound), การถ่ายภาพหลอดเลือดด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมกับการฉีดสี (MRA/magnetic resonance angiography), การตรวจหลอดเลือดด้วยเพตสแกน (PET scan)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาทันทีที่วินิจฉัยโรคนี้ ในรายที่มีอาการรุนแรง หรือมีปัญหาไม่สามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล

การรักษา แพทย์จะให้ยาสเตียรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) ขนาดสูงในระยะแรก เพื่อลดการอักเสบของหลอดเลือดทันทีโดยไม่ต้องรอผลการตรวจชิ้นเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการทางตา (เช่น ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน) ร่วมด้วย เนื่องจากหากให้การรักษาล่าช้า อาจทำให้เกิดภาวะตาบอดอย่างถาวรได้

เมื่ออาการดีขึ้นหลังให้ยาประมาณ 2-4 สัปดาห์ แพทย์ก็จะค่อย ๆ ปรับลดขนาดยาลง จนเหลือขนาดต่ำสุด ก็จะให้ยาในขนาดนั้นต่อเนื่องนานอย่างน้อย 1-2 ปี (บางรายอาจนานถึง 5  ปี) เพื่อป้องกันการกำเริบของโรค

บางรายแพทย์อาจให้ยาลดการอักเสบชนิดอื่นร่วมด้วย เช่น methotrexate (ซึ่งเป็นยาลดการอักเสบด้วยการออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน หรือ immunosuppressant), tocilizumab (ซึ่งเป็นยาลดการอักเสบด้วยการออกฤทธิ์ต้าน interleukin-6 หรือ interleukin-6 receptor antagonist) ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิผลในการรักษา และลดขนาดของยาสเตียรอยด์ที่ใช้ซึ่งช่วยลดผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์

แพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยาแอสไพรินขนาดต่ำ (วันละ 75-150 มก.) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือด เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในตา หัวใจ และสมอง, ให้กินวิตามินดีและแคลเซียม เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนจากการใช้ยาสเตียรอยด์นาน ๆ

แพทย์จะนัดผู้ป่วยมารับการตรวจรักษาเป็นระยะ เพื่อติดตามดูอาการและภาวะแทรกซ้อนของโรค และตรวจดูภาวะที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์ (เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ต้อกระจก โรคกระดูกพรุน เป็นต้น)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หลังให้การรักษาด้วยยาสเตียรอยด์แล้ว อาการจะทุเลาเป็นปกติได้ภายในเวลาไม่นาน และสามารถลดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (ได้แก่ ตาบอด โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง) ลงได้

ส่วนในรายที่มาพบแพทย์ช้า คือมีอาการตาบอดเกิดขึ้นแล้ว การรักษาก็ไม่ช่วยให้อาการตาบอดนั้นดีขึ้น

ในรายที่กินยาสเตียรอยด์จนครบและแพทย์ให้หยุดยา บางรายอาจมีอาการกำเริบใหม่ในเวลาต่อมาได้ ดังนั้นเมื่อหยุดยาแล้ว ควรเฝ้าสังเกตอาการและไปพบแพทย์ตามนัด หากโรคกำเริบ แพทย์ก็จะให้ยารักษารอบใหม่

นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์นาน ๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ (ทำให้เกิดโรคติดเชื้อง่ายและรุนแรง) ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ต้อกระจก โรคกระดูกพรุน (เกิดกระดูกหักตามมา) เป็นต้น ซึ่งแพทย์จะเฝ้าติดตาม และทำการป้องกันและรักษาผลข้างเคียงดังกล่าว

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดศีรษะที่บริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว หรือสองข้างอย่างรุนแรง คลำได้เส้นปูดเป็นลำแข็งตรงขมับข้างที่ปวด และกดถูกเจ็บ, หรือมีอาการปวดขมับ ร่วมกับอาการปวดหนังศีรษะ (เวลาหวีผม สวมหมวก สวมแว่นตา หรือนอนหนุนหมอน) หรือปวดเมื่อยกราม (เวลาเคี้ยวอาหาร หรือพูดนานๆ), หรือมีอาการปวดขมับร่วมกับมีไข้ หรืออาการตาพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน, หรือมีอาการปวดขมับรุนแรงเป็นครั้งแรก และปวดมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในคนอายุมากกว่า 50 ปี ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงขมับอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาสเตียรอยด์

- กินอาหารสุขภาพ เน้นผักผลไม้ ธัญพืช ปลา ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองให้มาก ลดอาหารหวาน (น้ำตาล) -มัน (ไขมัน เนื้อติดมัน หนังสัตว์ กะทิ) -เค็ม ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน
- กินวิตามินดีและแคลเซียมตามที่แพทย์แนะนำ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีการตามืดมัว เจ็บหน้าอก หรือแขนขาชาหรืออ่อนแรง
    มีไข้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน หน้ามืด เป็นลม ซีด ใจสั่น หรือเบื่ออาหาร
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกัน เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีอาการปวดที่ขมับ (ข้างเดียวหรือสองข้าง) คล้ายโรคไมเกรน ไมเกรนมักมีอาการปวดตุบ ๆ ที่ขมับ เป็น ๆ หาย ๆ ตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว มักมีเหตุกำเริบ (เช่น แสง เสียง กลิ่น อากาศร้อน หิว อดนอน เครียด เป็นต้น) แต่ละครั้งจะเป็นอยู่นาน 4-72 ชั่วโมง และมักจะทุเลาได้เร็วหากได้นอนพัก หรือกินยาแก้ปวดทันทีที่เริ่มมีอาการ

แต่ถ้าพบว่ามีอาการปวดที่ขมับเกิดขึ้นอย่างฉับพลันต่อเนื่อง และรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (หรือปวดต่างจากอาการปวดไมเกรนในรายที่เคยเป็นไมเกรนมาก่อน) ปวดจนนอนสะดุ้งตื่นหรือนอนไม่หลับ และมีเส้นปูดที่ขมับข้างที่ปวด เป็นลำแข็ง กดเจ็บ และชีพจรเต้นเบา (ต่างจากไมเกรนที่อาจมีเส้นปูดที่ขมับข้างที่ปวด แต่เป็นเส้นนุ่ม กดถูกไม่เจ็บ และมีชีพจรเต้นตุบ ๆ) หรือมีอาการปวดหนังศีรษะ ปวดเมื่อยกราม หรือมีอาการตาเห็นภาพซ้อน หรือตาพร่ามัวร่วมกับปวดศีรษะ (ต่างจากไมเกรนที่อาจพบอาการตาเห็นภาพผิดปกติก่อนมีอาการปวดศีรษะ ซึ่งเป็นเพียงชั่วคราวและจะทุเลาลงไปเมื่อมีอาการปวดศีรษะ) ก็ให้สงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดขมับอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นอาการที่พบครั้งแรกในคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

2. โรคนี้ถึงแม้พบได้น้อย แต่มีความร้ายแรง ทำให้ตาบอดได้อย่างฉับพลันและถาวร และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงอื่น ๆ หากมีอาการสงสัย ควรไปพบแพทย์ทันที และดูแลรักษากับแพทย์ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

12
เขาวงพระจันทร์ ลพบุรี 2568 พิชิต 3,790 ขั้น ทำบุญ สักการะ รอยพระพุทธบาท

เขาวงพระจันทร์ จังหวัดลพบุรี เป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญที่สำคัญและท้าทายสำหรับสายบุญและนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเดินป่าพิชิตยอดเขาค่ะ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีนของทุกปี จะมีการจัดงานนมัสการเป็นประจำ ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลไปร่วมพิธีและพิชิตยอดเขาเป็นจำนวนมาก


ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเขาวงพระจันทร์:

ที่ตั้ง: ตำบลห้วยโป่ง อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี

ความสูง: ยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 650 เมตร

จำนวนบันได: มีบันไดขึ้นสู่ยอดเขาทั้งหมด 3,790 ขั้น (บางข้อมูลอาจระบุ 3,799 ขั้น หรือใกล้เคียง) ซึ่งถือเป็นจำนวนขั้นบันไดที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

ระยะทาง: ระยะทางจากเชิงเขาถึงยอดเขาประมาณ 1,680 เมตร (ประมาณ 1.68 กิโลเมตร)


ไฮไลท์และสิ่งที่น่าสนใจ:

พิชิตยอดเขา: การเดินขึ้นบันได 3,790 ขั้น ถือเป็นการทดสอบกำลังกายและกำลังใจอย่างแท้จริง แต่เมื่อไปถึงยอดเขาแล้ว คุณจะได้สัมผัสกับความภาคภูมิใจและทัศนียภาพอันงดงามของเมืองลพบุรีแบบ 360 องศา

สักการะรอยพระพุทธบาท: บนยอดเขามี รอยพระพุทธบาท ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชน เชื่อกันว่าเป็นรอยพระพุทธบาทของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ: นอกจากรอยพระพุทธบาทแล้ว บนยอดเขายังมีพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ให้กราบไหว้ขอพรอีกมากมาย

บรรยากาศในช่วงเทศกาล: โดยเฉพาะช่วงตรุษจีน จะมีการจัดงานนมัสการเขาวงพระจันทร์อย่างยิ่งใหญ่ มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาเพื่อร่วมพิธีและพิชิตยอดเขา บรรยากาศจะคึกคักเป็นพิเศษ มีร้านค้า ร้านอาหาร และไฟประดับตลอดทางขึ้นในบางช่วง


ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่จะไปพิชิตเขาวงพระจันทร์:

เตรียมร่างกายให้พร้อม: ควรออกกำลังกายเตรียมความพร้อมของร่างกายล่วงหน้า เพราะการเดินขึ้นบันไดจำนวนมากต้องใช้พละกำลังและความอดทนสูง

รองเท้าที่เหมาะสม: สวมรองเท้าที่เดินสบาย กระชับ และมีดอกยางกันลื่น

เสื้อผ้า: สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เหมาะกับการเดินป่า

น้ำดื่มและอาหาร: เตรียมน้ำดื่มให้เพียงพอ และอาจมีขนมหรือผลไม้ที่ให้พลังงานติดตัวไปด้วย

ไฟฉาย: หากเดินทางในช่วงกลางคืนหรือเช้ามืด ควรมีไฟฉายติดตัว

ไม้เท้าช่วยพยุง: สำหรับบางคน การใช้ไม้เท้าช่วยพยุงจะช่วยผ่อนแรงได้มาก

เผื่อเวลา: การเดินขึ้นลงใช้เวลาหลายชั่วโมง ควรเผื่อเวลาให้เพียงพอ

สำหรับปี 2568:
โดยปกติแล้ว งานนมัสการเขาวงพระจันทร์จะจัดขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งมักจะอยู่ระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ของแต่ละปี หากคุณวางแผนจะไปในช่วงเทศกาล ควรติดตามประกาศจากทางวัดหรือหน่วยงานการท่องเที่ยวของจังหวัดลพบุรีอีกครั้งสำหรับวันเวลาที่แน่นอนค่ะ

การพิชิตเขาวงพระจันทร์ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจและได้บุญอย่างยิ่งค่ะ ขอให้คุณเดินทางปลอดภัยและสำเร็จตามที่ตั้งใจ!

13
การจัดฟันเด็ก ช่วยปรับโครงหน้า

การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่แก้ไขปัญหาในเรื่องของการเรียงตัวของฟันที่มีความผิดปกติ เป็นหนึ่งในวิธีรักษาทางทันตกรรมซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง การจัดฟันยังช่วยปรับโครงหน้าของผู้เข้ารับการรักษาให้เข้ารูปได้ด้วย ดังนั้นการจัดฟันจึงช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดียิ่งขึ้นได้

นอกจากนี้ในปัจจุบัน การจัดฟันได้มีการพัฒนาให้สามารถจัดฟันในเด็กได้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่อายุ3-4 ขวบเลย แต่ถ้าพูดในเรื่องของความสะดวกและความร่วมมือของเด็กก็ควรอยู่ในช่วงอายุ 7-8 ขวบจะดีที่สุด ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันกำลังพัฒนาและขากรรไกรกำลังเจริญเติบโต นั่นหมายความว่าปัญหาบางอย่าง เช่น ฟันซ้อน จะแก้ไขได้ง่ายกว่าตอนโตเป็นผู้ใหญ่ นอกจากนี้การจัดฟันในเด็กไม่สามารถแก้ไขปัญหาการจัดฟันได้ทุกแบบ แต่อาจช่วยได้ในบางกรณีเท่านั้น แต่ในเรื่องของโครงสร้างของใบหน้า แน่นอนว่าการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ด้วยเครื่องมือ EF Line คือเครื่องมือที่เป็นชิ้นยางหลากหลายสี ซึ่งมีหลายขนาดตามอายุและขนาดของขากรรไกรเด็ก ซึ่งประโยชน์ของเครื่องมือชิ้นนี้ คือมันจะช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าของเด็กให้มาอยู่ถูกที่ถูกทาง และให้ใบหน้าดูสมส่วนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

โดยเครื่องมือการจัดฟันในการจัดฟันในเด็กนั้น จะช่วยป้องกันปัญหาการสบฟันผิดปกติหรือแก้ไขเพื่อบรรเทาความรุนแรงของความผิดปกติซึ่งควรทำในเด็ก เพราะเครื่องมือ EF Line ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของป้องกันฟันล้ม ซึ่งใช้ในกรณีที่มีการสูญเสียฟัน หรือ ต้องถอนฟันน้ำนมก่อนกำหนด โดยทันตแพทย์จะถอนฟันน้ำนมที่เสียออก แล้วพิมพ์ปากเพื่อทำเครื่องมือกันฟันล้มใส่ให้ รอจนกว่าถึงเวลาที่ฟันแท้จะงอกขึ้นทดแทนในช่องว่างที่ถอนฟันสำหรับผู้เข้ารับการรักษาที่เป็นเด็กก็จะมีฟันแท้ งอกตรงในบริเวณที่ควรจะงอก ทำให้ไม่ก่อให้เกิดปัญหาฟันคุดของฟันแท้ในบริเวณนั้น หรือ การล้มเกของฟันรอบๆ ข้าง แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การได้มีฟันน้ำนมอยู่ในปากจนครบเวลาที่ควรจะหลุด จะเป็นการป้องกันฟันล้มเกได้ดีที่สุด


นอกจากนี้ เครื่องมือดังกล่าวยังสามารถแก้ไขพฤติกรรมที่ผิดปกติที่เกิดในเด็กได้ด้วย หากเรามานั่งพูดถึงสาเหตุของการสบฟันที่ผิดปกติในเด็กจำนวนมาก ที่เรามักพบเจอได้บ่อย ส่วนใหญ่จะเกิดจากนิสัยต่างๆ เช่น การดูดนิ้ว การกลืนที่ผิดปกติ หรือ การหายใจทางปากจากปัญหาทางเดินหายใจ อาจจะส่งผลให้ฟันหน้าบนยื่น หรือไม่สบฟันได้ในที่สุด ทันตแพทย์จะมีเครื่องมือรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยแก้ไขนิสัยเหล่านี้ให้แก่เด็กได้

อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็ก ก็มีข้อดีในเรื่องเครื่องมือการจัดฟันที่เป็นจุดเด่น สำหรับเครื่องมือ EF Line นอกจากจะช่วยแก้ไขในเรื่องของปัญหาสุขภาพฟันในเด็กแล้วยังช่วยในเรื่องของโครงสร้างของใบหน้าของเเด็กอีกด้วย เพราะสามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้า จะต้องเข้ารับการแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน เครื่องมือ EF line สามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี โดยสามารถแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลายแต่ก็มีความแตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า ขึ้นอยู่กับความยาก ง่ายของความผิดปกติ


อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านไหน สนใจให้บุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยโปรแกรม EF Line สามารถขอรับคำแนะนำและปรึกษากับทางทันตแพทย์ของทางคลีนิกได้ เพราะทางเรามีทีมทันตแพทยน์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก จึงเป็นการการันตีได้ว่า บุตรตหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่ดี และมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นเด็กที่มีสุขภาพฟันที่ดีได้อย่างแน่นอน

14
doctor at home: ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ (Spinal cord injury)

การบาดเจ็บที่บริเวณคอหรือหลัง อาจทำให้ประสาทไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นเหตุให้เกิดอาการอัมพาตของแขนขาทั้ง 4 ข้าง (quadriplegia) หรือขา 2 ข้าง (paraplegia) ส่วนใหญ่พบเป็นภาวะแทรกซ้อนของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจร และการตกจากที่สูง มักพบในผู้ชายอายุ 15-35 ปี

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุร้ายแรง ได้แก่ รถชน รถคว่ำ ตกจากที่สูง ถูกของหนักหล่นทับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการถูกยิง ถูกแทงเข้าไขสันหลัง ทำให้ประสาทไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือน ฟกช้ำ เลือดออกหรือฉีกขาด ทำให้เกิดอาการอัมพาตของแขนขา 2 ข้างทันที

อาการ

ถ้าบาดเจ็บตรงระดับเอว ขาทั้ง 2 ข้างมักจะชา กระดุกกระดิกไม่ได้ ถ่ายปัสสาวะและอุจจาระเองไม่ได้ อวัยวะเพศทำงานไม่ได้ เช่น องคชาตไม่แข็งตัว

ถ้าบาดเจ็บตรงระดับคอ จะมีอาการอัมพาตของแขนทั้ง 2 ข้างร่วมกับขาทั้ง 2 ข้าง และถ้ากระทบกระเทือนถูกส่วนที่ควบคุมการหายใจ ผู้ป่วยจะหายใจไม่ได้ และถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออาจเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

โดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะมีความรู้สึกตัวดีเหมือนคนปกติ

ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตนาน ๆ อาจมีแผลกดทับ (bed sores) หรืออาจเป็นโรคติดเชื้อ (เช่น ปอดอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ) ได้ง่าย

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งจะตรวจพบขา 2 ข้าง หรือแขนขาทั้ง 4 ข้างเป็นอัมพาตและชา (ไม่รู้สึกเจ็บเวลาถูกเข็มจิ้ม)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์กระดูกสันหลัง ถ่ายภาพไขสันหลังด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ถ่ายภาพรังสีไขสันหลังโดยการฉีดสารทึบรังสี (myelography) เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการและการรักษาแบบประคับประคอง เช่น ถ้ากินอาหารไม่ได้ ให้น้ำเกลือ หรือให้อาหารทางสายยางหรือทางหลอดเลือดดำ, ถ้าหายใจไม่ได้ ใช้เครื่องช่วยหายใจ, ถ้าปัสสาวะไม่ได้ ใส่สายสวนปัสสาวะ เป็นต้น

แพทย์จะให้สเตียรอยด์ฉีดเข้าหลอดเลือดดำเพื่อลดอาการบวม ช่วยให้ฟื้นตัวดีขึ้น ถ้าจะให้ได้ผลดีต้องให้ภายใน 8 ชั่วโมงหลังบาดเจ็บ และให้ติดต่อกันนาน 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ จะทำการรักษาโดยใช้น้ำหนักดึงถ่วง (traction) ให้ข้อกระดูกที่เคลื่อนเข้าที่ หรือป้องกันไม่ให้ข้อกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือกดทับไขสันหลัง บางรายอาจต้องทำการผ่าตัดสันหลัง เพื่อแก้ไขความผิดปกติและทำการเชื่อมต่อข้อกระดูกสันหลัง

ผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลอยู่นาน หลังจากนั้นแพทย์จะทำการฟื้นฟูสภาพด้วยกายภาพบำบัด และใช้อุปกรณ์หรือรถเข็นช่วยในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้าไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือนหรือบาดเจ็บไม่มาก ก็มีโอกาสฟื้นคืนความแข็งแรงได้ โดยสังเกตว่า ถ้าผู้ป่วยสามารถขยับแขนขาและมีความรู้สึกเจ็บกลับคืนมาภายใน 1 สัปดาห์ก็อาจมีทางหายได้

แต่ถ้าประสาทไขสันหลังถูกทำลาย อาการอัมพาตก็มักจะเป็นอย่างถาวร โดยที่อาการจะไม่ดีขึ้นเลยภายหลังบาดเจ็บ 6 เดือนไปแล้ว

ในรายที่มีการบาดเจ็บตรงคอ ซึ่งมีอาการอัมพาตหมดทั้งแขนขา 4 ข้าง และไม่สามารถหายใจได้เอง หากเป็นอัมพาตอย่างถาวร ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจประทังชีวิต ผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้ระยะหนึ่ง และมักเสียชีวิตด้วยภาวะติดเชื้อ (เช่น ปอดอักเสบ) แทรกซ้อน

การดูแลตนเอง

หากได้รับบาดเจ็บรุนแรงตรงบริเวณคอหรือหลัง ควรทำการปฐมพยาบาลและรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

เมื่อได้รับการรักษาจนสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    กินยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ฝึกทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์/นักกายภาพบำบัด
    ในกรณีที่นอนติดเตียง ควรใช้ที่นอนที่ลดแรงกดทับ (เช่น ที่นอนน้ำ ที่นอนลม) และผู้ดูแลควรทำการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันแผลกดทับ
    ระมัดระวังในการป้อนอาหารแก่ผู้ป่วย อย่าให้สำลัก
    ถ้ามีสายสวนปัสสาวะ หรือสายป้อนอาหาร (ที่ใส่ผ่านจมูกเข้าไปที่กระเพาะอาหาร) ควรดูแลให้สะอาดปลอดภัยตามตามคำแนะนำของแพทย์/พยาบาล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หนาวสั่น ท้องเดิน หรืออาเจียน
    ปวดศีรษะรุนแรง สับสน ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว หรือหายใจหอบหรือลำบาก
    กินอาหาร หรือดื่มน้ำได้น้อย
    มีแผลกดทับเกิดขึ้น
    ยาหายหรือขาดยา
    มีอาการสงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม เหนื่อยหอบ หรือหายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
    มีความวิตกกังวล

การปฐมพยาบาลสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่คอและหลัง

1. ถ้าผู้ป่วยหายใจไม่ได้เนื่องจากไขสันหลังส่วนคอได้รับบาดเจ็บ ให้ทำการผายปอดด้วยการเป่าปากจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล

2. ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ควรกระทำดังนี้

    ห้ามยก แบก หรือหามผู้ป่วยโดยตรง อาจทำให้ไขสันหลังได้รับอันตรายมากยิ่งขึ้น
    พยายามให้ผู้ป่วยนอนราบ ให้ศีรษะ คอ และลำตัว ตั้งอยู่ในแนวตรงกันเสมอ ถ้าจำเป็นต้องขยับตัวผู้ป่วยให้ใช้ผู้ช่วยอย่างน้อย 3 คน ขยับศีรษะ คอ ลำตัวไปพร้อม ๆ กัน โดยพยายามให้ทุกส่วนอยู่ในแนวที่ตรงกัน (อย่าให้บิดเบี้ยว)
    เคลื่อนย้ายผู้ป่วย โดยให้ผู้ป่วยนอนหงายบนแผ่นกระดานแข็ง ๆ (เช่น โต๊ะ บานประตู) พันตัวผู้ป่วยไว้กับแผ่นกระดาน เพื่อป้องกันมิให้ผู้ป่วยพลิกตัว
    ถ้าสงสัยกระดูกต้นคอหัก ควรใช้กระดาษแข็ง หนังสือพิมพ์ หรือผ้าพับม้วนเป็นทบแล้วสอดเข้าใต้คอผู้ป่วย ทำเป็นปลอกคอใส่ไว้ เพื่อป้องกันมิให้คอขยับเขยื้อนเกิดอันตรายได้ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยให้นอนหงายบนแผ่นกระดานแข็ง และวางถุงทรายหรืออิฐขนาบระหว่างคอผู้ป่วยเพื่อมิให้ผู้ป่วยเอี้ยวหรือบิดคอ

การป้องกัน

การป้องกันไม่ให้ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บที่สำคัญก็คือ การป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุจราจร และการตกจากที่สูง

ข้อแนะนำ

1. เมื่อพบผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บตรงบริเวณคอหรือหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสงสัยอาจมีกระดูกคอหรือกระดูกหลังหัก หรือไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือน ควรระมัดระวังในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อป้องกันมิให้ไขสันหลังได้รับอันตรายมากขึ้น

2. ผู้ป่วยไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ มักได้รับการรักษาจนปลอดภัย แต่อาจมีความพิการ เดินไม่ได้ ซึ่งผู้ป่วยมักมีความรู้สึกท้อแท้ ซึมเศร้า ควรให้การดูแลปัญหาด้านจิตใจควบคู่กับด้านร่างกายพร้อม ๆ กันไป หาทางปลอบขวัญและให้กำลังใจ รวมทั้งเปิดโอกาสให้พบปะแลกเปลี่ยนกับกลุ่มผู้ป่วยแบบเดียวกัน (กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน) เพื่อให้การช่วยเหลือและส่งเสริมกำลังใจซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังมีสติปัญญา และมือ 2 ข้างเป็นปกติดี สามารถนั่งรถเข็นหรือขับรถเดินทางไปไหนมาไหน ทำงานด้วยมือ 2 ข้าง มีอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีได้

15
ข้าวกะเพราหมูยอ เมนูอาหารตามสั่ง สร้างอาชีพ ทำง่าย

กะเพราหมูยอเป็นเมนูอาหารตามสั่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยรสชาติที่จัดจ้านและทำง่าย จึงเหมาะสำหรับการสร้างอาชีพ ต่อไปนี้เป็นสูตรและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณทำกะเพราหมูยอให้อร่อยและขายดี:

ส่วนผสม (สำหรับ 1 ที่):

หมูยอหั่นชิ้นพอดีคำ 150 กรัม
พริกขี้หนูสด (หรือพริกจินดา) 5-10 เม็ด (ปรับลดตามความเผ็ดที่ต้องการ)
กระเทียมไทย 3-5 กลีบ
ใบกะเพรา 1 ถ้วย
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา (ปรับตามชอบ)
น้ำซุป (หรือน้ำเปล่า) 2 ช้อนโต๊ะ
(ถ้าต้องการ) ซีอิ๊วดำหวาน 1/2 ช้อนชา (เพื่อเพิ่มสีสัน)

วิธีทำ:

โขลกพริกและกระเทียมหยาบๆ
ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันพืช
ใส่พริกและกระเทียมที่โขลกไว้ ผัดให้หอม
ใส่หมูยอ ผัดให้เข้ากัน
ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย และน้ำซุป
(ถ้าต้องการ) ใส่ซีอิ๊วดำหวานเล็กน้อย
ใส่ใบกะเพรา ผัดเร็วๆ ให้เข้ากัน
ตักราดข้าวสวย เสิร์ฟพร้อมพริกน้ำปลา (ถ้าต้องการ)

เคล็ดลับความอร่อย:

หมูยอ: เลือกใช้หมูยอที่มีคุณภาพดี
พริกและกระเทียม: ใช้พริกและกระเทียมสดใหม่ จะทำให้กะเพรามีกลิ่นหอมและรสชาติที่ดี
ใบกะเพรา: ใส่ใบกะเพราในขั้นตอนสุดท้าย และผัดเร็วๆ เพื่อไม่ให้ใบกะเพราดำและเสียรสชาติ
ปรุงรส: ปรุงรสให้กลมกล่อมตามชอบ
ไฟแรง: ผัดด้วยไฟแรงจะทำให้กะเพรามีกลิ่นหอมและไม่แฉะ

เคล็ดลับทำขาย:

เตรียมวัตถุดิบ: เตรียมวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า เพื่อความรวดเร็วในการผัด
บรรจุภัณฑ์: เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาดและสวยงาม
ราคา: กำหนดราคาขายที่เหมาะสมกับต้นทุนและกลุ่มลูกค้า
โปรโมท: โปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line หรือ Instagram
บริการ: ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาไพเราะ และใส่ใจลูกค้า
รักษาความสะอาด: รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร

ช่องทางการขาย:

ตลาดนัด: ขายกะเพราหมูยอในตลาดนัด
ร้านอาหาร: เปิดร้านขายกะเพราหมูยอโดยเฉพาะ หรือขายในร้านอาหารตามสั่ง
เดลิเวอรี่: ขายกะเพราหมูยอผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่
งานออกร้าน: เข้าร่วมงานออกร้านอาหารต่างๆ

ด้วยสูตรและเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถสร้างอาชีพด้วยกะเพราหมูยอได้อย่างแน่นอน

หน้า: [1] 2 3