ข้อความโดย: siritidaphon
« เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 05:20:36 PM »แนวทางการให้อาหารสายยางในผู้ป่วยวิกฤต
แนวทางการให้อาหารทางสายยาง (Enteral Nutrition - EN) ในผู้ป่วยวิกฤตถือเป็นส่วนสำคัญของการดูแลในหอผู้ป่วยหนัก (ICU) ค่ะ เป้าหมายคือการให้สารอาหารอย่างรวดเร็วและปลอดภัย เพื่อสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและลดภาวะแทรกซ้อน
หมายเหตุสำคัญ: แนวทางปฏิบัตินี้เป็นข้อมูลทั่วไปสำหรับการอ้างอิงเท่านั้น การดำเนินการจริงต้องเป็นไปตามคำสั่งของ แพทย์เฉพาะทางด้านวิกฤตบำบัดและนักโภชนาการ ประจำทีมรักษา เนื่องจากต้องประเมินสภาวะทางคลินิกของผู้ป่วยอย่างละเอียด
🏥 แนวทางการให้อาหารทางสายยางในผู้ป่วยวิกฤต
1. การเริ่มต้นให้อาหาร (Timing and Initiation)
การให้อาหารแต่เนิ่น ๆ (Early EN):
แนวทาง: ควรเริ่มให้อาหารทางสายยางทันทีที่ผู้ป่วยมีความเสถียรด้านการไหลเวียนโลหิตและหายใจ (Hemodynamically Stable) ซึ่งโดยทั่วไปคือ ภายใน 24-48 ชั่วโมง นับตั้งแต่เข้ารับการรักษาใน ICU
ความสำคัญ: การเริ่มให้อาหารแต่เนิ่น ๆ ช่วยรักษาโครงสร้างและหน้าที่ของเยื่อบุลำไส้ (Gut Mucosa) และลดการติดเชื้อ
ปริมาณเริ่มต้น (Trophic Feeding):
แนวทาง: ในช่วง 7 วันแรก มักจะเริ่มให้ในปริมาณน้อย ๆ ก่อน เรียกว่า Trophic Feeding (ให้อาหารในอัตราที่ต่ำ เช่น 10-20 มล./ชม.) เพื่อให้ลำไส้ได้ปรับตัว
การเพิ่มปริมาณ: ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณ (Advance Rate) ให้ถึงเป้าหมายแคลอรี่เต็มที่ตามที่นักโภชนาการกำหนด
2. การควบคุมการไหลและความปลอดภัย (Rate Control and Safety)
รูปแบบการให้: โดยทั่วไปมักให้ในรูปแบบ ต่อเนื่อง (Continuous Feeding) โดยใช้ปั๊มให้อาหาร (Feeding Pump) เพื่อควบคุมอัตราการไหลให้คงที่และช้า เพื่อเพิ่มความทนทานของลำไส้ และลดความเสี่ยงของการสำลัก
การจัดท่า: ต้องจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่า ศีรษะสูง 30–45 องศา ตลอดเวลาที่ให้อาหารเพื่อป้องกันการสำลัก
3. การเฝ้าระวังและการจัดการปัญหา (Monitoring and Management)
การวัดปริมาณอาหารค้าง (Gastric Residual Volume - GRV):
การปฏิบัติ: การวัด GRV ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน แต่หลายหน่วยงานยังคงใช้เพื่อประเมินความทนทานของกระเพาะอาหาร
แนวทางสมัยใหม่: หาก GRV น้อยกว่า 500 มล. ใน 6 ชั่วโมง มักจะถือว่าสามารถให้อาหารต่อได้ (ขึ้นอยู่กับนโยบาย ICU) แต่หากมีปริมาณมากและผู้ป่วยมีอาการท้องอืด คลื่นไส้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับแผน
การจัดการภาวะอาหารไม่ย่อย (Intolerance):
การใช้ยาเร่งการบีบตัว (Prokinetics): หากผู้ป่วยมีภาวะกระเพาะอาหารเคลื่อนไหวช้า แพทย์อาจพิจารณาให้ยา เช่น Metoclopramide หรือ Erythromycin เพื่อช่วยให้กระเพาะอาหารบีบตัวดีขึ้น
การเปลี่ยนตำแหน่งสาย: หากผู้ป่วยไม่ทนต่ออาหารที่ให้เข้ากระเพาะอาหาร (Gastric Feeding) แพทย์อาจเปลี่ยนไปใช้สายที่สอดเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น (Post-Pyloric or NJ Tube)
4. การเลือกสูตรอาหาร (Formula Selection)
สูตรมาตรฐาน: โดยทั่วไปมักใช้สูตรมาตรฐาน (Polymeric Formula) หากผู้ป่วยไม่มีปัญหาการย่อยหรือดูดซึมที่รุนแรง
สูตรเฉพาะ: อาจพิจารณาสูตรเฉพาะ เช่น สูตรที่มีโปรตีนสูง หรือเสริมสารภูมิคุ้มกัน (Immunonutrients) เช่น Glutamine หรือ Arginine ในบางกรณี (ขึ้นอยู่กับประเภทของโรคและภาวะแทรกซ้อน)
การดูแลผู้ป่วยวิกฤตต้องมีการ ประเมินซ้ำอย่างต่อเนื่อง และปรับแผนการให้อาหารให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางคลินิกของผู้ป่วยอยู่เสมอค่ะ
แนวทางการให้อาหารทางสายยาง (Enteral Nutrition - EN) ในผู้ป่วยวิกฤตถือเป็นส่วนสำคัญของการดูแลในหอผู้ป่วยหนัก (ICU) ค่ะ เป้าหมายคือการให้สารอาหารอย่างรวดเร็วและปลอดภัย เพื่อสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและลดภาวะแทรกซ้อน
หมายเหตุสำคัญ: แนวทางปฏิบัตินี้เป็นข้อมูลทั่วไปสำหรับการอ้างอิงเท่านั้น การดำเนินการจริงต้องเป็นไปตามคำสั่งของ แพทย์เฉพาะทางด้านวิกฤตบำบัดและนักโภชนาการ ประจำทีมรักษา เนื่องจากต้องประเมินสภาวะทางคลินิกของผู้ป่วยอย่างละเอียด
🏥 แนวทางการให้อาหารทางสายยางในผู้ป่วยวิกฤต
1. การเริ่มต้นให้อาหาร (Timing and Initiation)
การให้อาหารแต่เนิ่น ๆ (Early EN):
แนวทาง: ควรเริ่มให้อาหารทางสายยางทันทีที่ผู้ป่วยมีความเสถียรด้านการไหลเวียนโลหิตและหายใจ (Hemodynamically Stable) ซึ่งโดยทั่วไปคือ ภายใน 24-48 ชั่วโมง นับตั้งแต่เข้ารับการรักษาใน ICU
ความสำคัญ: การเริ่มให้อาหารแต่เนิ่น ๆ ช่วยรักษาโครงสร้างและหน้าที่ของเยื่อบุลำไส้ (Gut Mucosa) และลดการติดเชื้อ
ปริมาณเริ่มต้น (Trophic Feeding):
แนวทาง: ในช่วง 7 วันแรก มักจะเริ่มให้ในปริมาณน้อย ๆ ก่อน เรียกว่า Trophic Feeding (ให้อาหารในอัตราที่ต่ำ เช่น 10-20 มล./ชม.) เพื่อให้ลำไส้ได้ปรับตัว
การเพิ่มปริมาณ: ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณ (Advance Rate) ให้ถึงเป้าหมายแคลอรี่เต็มที่ตามที่นักโภชนาการกำหนด
2. การควบคุมการไหลและความปลอดภัย (Rate Control and Safety)
รูปแบบการให้: โดยทั่วไปมักให้ในรูปแบบ ต่อเนื่อง (Continuous Feeding) โดยใช้ปั๊มให้อาหาร (Feeding Pump) เพื่อควบคุมอัตราการไหลให้คงที่และช้า เพื่อเพิ่มความทนทานของลำไส้ และลดความเสี่ยงของการสำลัก
การจัดท่า: ต้องจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่า ศีรษะสูง 30–45 องศา ตลอดเวลาที่ให้อาหารเพื่อป้องกันการสำลัก
3. การเฝ้าระวังและการจัดการปัญหา (Monitoring and Management)
การวัดปริมาณอาหารค้าง (Gastric Residual Volume - GRV):
การปฏิบัติ: การวัด GRV ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน แต่หลายหน่วยงานยังคงใช้เพื่อประเมินความทนทานของกระเพาะอาหาร
แนวทางสมัยใหม่: หาก GRV น้อยกว่า 500 มล. ใน 6 ชั่วโมง มักจะถือว่าสามารถให้อาหารต่อได้ (ขึ้นอยู่กับนโยบาย ICU) แต่หากมีปริมาณมากและผู้ป่วยมีอาการท้องอืด คลื่นไส้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับแผน
การจัดการภาวะอาหารไม่ย่อย (Intolerance):
การใช้ยาเร่งการบีบตัว (Prokinetics): หากผู้ป่วยมีภาวะกระเพาะอาหารเคลื่อนไหวช้า แพทย์อาจพิจารณาให้ยา เช่น Metoclopramide หรือ Erythromycin เพื่อช่วยให้กระเพาะอาหารบีบตัวดีขึ้น
การเปลี่ยนตำแหน่งสาย: หากผู้ป่วยไม่ทนต่ออาหารที่ให้เข้ากระเพาะอาหาร (Gastric Feeding) แพทย์อาจเปลี่ยนไปใช้สายที่สอดเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น (Post-Pyloric or NJ Tube)
4. การเลือกสูตรอาหาร (Formula Selection)
สูตรมาตรฐาน: โดยทั่วไปมักใช้สูตรมาตรฐาน (Polymeric Formula) หากผู้ป่วยไม่มีปัญหาการย่อยหรือดูดซึมที่รุนแรง
สูตรเฉพาะ: อาจพิจารณาสูตรเฉพาะ เช่น สูตรที่มีโปรตีนสูง หรือเสริมสารภูมิคุ้มกัน (Immunonutrients) เช่น Glutamine หรือ Arginine ในบางกรณี (ขึ้นอยู่กับประเภทของโรคและภาวะแทรกซ้อน)
การดูแลผู้ป่วยวิกฤตต้องมีการ ประเมินซ้ำอย่างต่อเนื่อง และปรับแผนการให้อาหารให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางคลินิกของผู้ป่วยอยู่เสมอค่ะ