ผู้เขียน หัวข้อ: 6 วิธีเพื่อเลือกซื้อรถมือสองให้ได้รถดี  (อ่าน 560 ครั้ง)

ออฟไลน์ Onamii

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 1
  • Karma: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
 เท่าที่คุยกับเพื่อนและคนรู้จักที่ทำธุรกิจรถมือสองรู้สึกว่าตอนนี้ตลาดค่อนข้างจะซบเซาเริ่มแรกตลาดรถเก๋งในกรุงเทพฯดูท่าทางจะเงียบๆก่อนเพราะโดนกระแสรถอีโคคาร์และนโยบายรถคันแรกตีตลาด
                แม้ว่าจะผ่านช่วงที่มีการคืนภาษีไปแล้วแต่สถานการณ์ก็ใช่ว่าจะดีขึ้นเพราะทางด้านผู้ผลิตรถยนต์ก็ได้รับผลจากนโยบายการคืนภาษีรถคันแรกเหมือนกันทำให้การบริหารสต็อกคลาดเคลื่อนจนแต่ละค่ายต่างก็ต้องอัดแคมเปญแข่งกันอย่างดุเดือดเพื่อระบายรถทั้งส่วนลดราคาดาวน์น้อยผ่อนนานทั้งแถมประกันภัยชั้น1 ยิ่งทำให้ตลาดรถมือสองยิ่งเงียบขึ้นอีกและดูจะขยายวงกว้างไปถึงต่างจังหวัดด้วย
                ถึงแม้ว่าตลาดรถมือสองอาจดูเหมือนว่าซบเซาแต่อย่างไรเสียรถมือสองก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวงการรถยนต์เมืองไทยมาช้านานยังไงก็ยังต้องมีการซื้อขายกันอยู่รถเก๋งเล็กอาจจะดูเงียบๆแต่รถเก๋งขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่หรือรถประเภทอื่นๆก็ยังมีความต้องการกันอยู่เพราะด้วยคุณสมบัติของรถที่ตอบโจทย์ครั้นจะซื้อรถใหม่ก็ราคาสูงเกินไป
เอาเป็นว่าถ้าคุณกำลังสนใจรถมือสองผมมี 6 แนวทางในการเลือกและดูรถเพื่อให้ได้รถที่มีคุณภาพมาแนะนำ
1.         อายุรถถ้าเป็นรถปีใหม่ๆก็อาจจะตรวจดูได้ง่ายหน่อยเพราะน่าจะผ่านการขับขี่มาน้อยเกิดอุบัติเหตุน้อยและเครื่องยนต์ก็น่าจะยังไม่ทรุดโทรมไปมากนักแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารถปีใหม่ๆจะดีเสมอไปการดูรถมือสองมีจุดที่ต้องสังเกตุหลักๆแล้วไม่กี่จุดแต่การที่จะบอกได้ว่าดีหรือไม่ดีนั้นถ้าจะดูให้ขาดก็ต้องอาศัยประสบการณ์ถ้าหากคุณไม่มีประสบการณ์็ต้องทำการบ้านเยอะๆหน่อย
2.         สภาพตัวถังโดยรวมเครื่องยนต์หลวมยังซ่อมหรือเปลี่ยนเครื่องได้ช่วงล่างหลวมก็ซ่อมได้ตัวถังไม่สวยก็ซ่อมได้แต่จะซ่อมให้สวยปิ๊งเหมือนเดิมนั้นยากลำดับแรกต้องมองให้ขาดว่าตัวถังของรถคันที่คุณสนใจอยู่ในสภาพที่ดีความสวยสมบูรณ์ของตัวถังไม่ได้หมายถึงสีสวยแต่หมายถึงทรงของรถต้องยังดีอยู่การดูก็ดูรวมๆมองภาพกว้างๆเดินดูรอบๆว่าเหลี่ยมสันของรถคันนั้นในมุมต่างๆยังสวยกริ๊บอยู่ไหมช่องไฟต่างๆช่องไฟคือระยะห่างระหว่างชิ้นส่วนตัวถังแต่ละจุดเช่นระยะระหว่างบังโคลนหน้าซ้ายกับบานประตูหน้าซ้ายบานประตูหน้าซ้ายกับบานประตูหลังซ้ายมีระยะห่างเท่ากันไหมและระยะห่างนั้นอยู่ในลักษณะที่เป็นแนวตรงดีหรือไม่ถ้ามีการเฉี่ยวชนมาหากซ่อมตัวถังไม่ดีจุดเหล่านี้ระยะจะมีการผิดเพี้ยนหรือเสียศูนย์ไป
3.         ดูตามซอกหรือตะเข็บถ้าจะให้ดีต้องสังเกตตะเข็บของตัวถังและรอยอาร์คหรือจุดที่มีการเชื่อมตัวถังว่าเป็นรอยเดิมที่มาจากโรงงานหรือไม่แต่ถ้าไม่มีความรู้เรื่องรถอาจจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจเพิ่มเติมสักหน่อยผมแนะนำว่าเราอาจไปสำรวจรถรุ่นที่เราสนใจในโชว์รูมซึ่งเป็นรถใหม่แล้วเก็บรายละเอียดซอกตะเข็บต่างๆเท่าที่สำคัญเพื่อมาเปรียบเทียบกันว่ารถมือสองคันนี้มีอะไรแตกต่างจากรถมือหนึ่งมากน้อยเพียงใด
4.         ตรวจสอบรายละเอียดของรุ่นและปีของรถรถหลายๆรุ่นมีรุ่นย่อยหลายรุ่นและยังมีการเปลี่ยนโฉมหรือไมเนอร์เชนจ์อีกเพื่อให้ชัวร์ว่ารถคันที่จะซื้อนั้นเป็นรุ่นและปีอะไรกันแน่ก็คงต้องดูจุดสังเกตุเพิ่มเติมซึ่งรถแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่นก็มีจุดสังเกตไม่เหมือนกันเช่นบางรุ่นสังเกตได้จากแผ่นเพลตในห้องเครื่องยนต์บางรุ่นสังเกตจากป้ายหรือเพลตที่หม้อน้ำบางรุ่นสังเกตจากโคมไฟหน้าหรือไฟท้ายบางรุ่นสังเกตจากป้ายที่เข็มขัดนิรภัยฯลฯเราควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่ารุ่นที่ผู้ขายระบุมาตรงกับรถมือสองคันที่เราตรวจสอบอยู่และรถแต่ละรุ่นนั้นมีทุนประกันภัยไม่เท่ากันจึงอาจส่งผลต่อราคาซื้อประกันภัยรถยนต์มือสองได้
5.         ตรวจสอบระบบต่างๆที่ติดตั้งเพิ่มเติมเช่นถ้ามีการเปลี่ยนเครื่องเสียงใหม่ที่ไม่ใช่เครื่องเสียงเดิมติดรถดูสักหน่อยว่ามีการติดตั้งอะไรเยอะแยะมากมายหรือเปล่าตลอดจนระบบกันขโมยและอื่นๆหากมีการติดตั้งอะไรเยอะๆหากติดตั้งไม่ดีซึ่งหมายถึงการตัดต่อหรือเดินสายไฟไม่ดีแทนที่จะรู้สึกเหมือนได้ของดีมาแต่อาจส่งผลต่อระบบไฟฟ้าในรถยนต์ได้
6.         รถเดิมๆ (น่าจะ) ดีที่สุดหากต้องการรถที่มีการตกแต่งมาบ้างควรเป็นการตกแต่งที่อยู่บนพื้นฐานที่ไม่ได้ดัดแปลงสภาพจากรถเดิมเช่นการเปลี่ยนล้อและยางก็ควรเป็นการเปลี่ยนขนาดธรรมดาๆเท่านั้นไม่ถึงกับมีการปรับเซ็ตระบบช่วงล่างให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมเป็นต้นหากจะแต่งอะไรนำมาตกแต่างด้วยตัวเราเองดีกว่าในเบื้องต้นควรได้รถที่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดแบบเดิมจะดีที่สุด
                การบอกถึงแนวทางเป็นเรื่องง่ายแต่การดูรถจริงๆนั้นยากอย่างไรเสียก่อนที่จะซื้อควรตดัสินใจก่อนว่าจะซื้อรถรุ่นไหนแล้วหาข้อมูลเฉพาะเจาะจงรถรุ่นนั้นๆให้มากๆเมื่อซื้อรถแล้วอย่าลืมตรวจสอบและทำประกันภัยให้เรียบร้อยโดยบางแห่งนั้นเปิดกว้างในการรับอายุรถถึง 10 ปีก็สามารถซื้อประกันภัยชั้น 1 ไว้คุ้มครองได้แต่หากรถมือสองที่มีอายุมากกว่า 10 ปีการซื้อประกันภัยประเภท 2+ หรือ 3+ ดูจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าและสุดท้ายหากรถมือสองมีอายุมากกว่า 15 ปีผมแนะนำว่าซื้อประกันภัยประเภท 3 จะเหมาะสมที่สุดด้วยราคาเพียงพันนิดๆเท่านั้นเอง
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 01, 2019, 10:28:36 AM โดย Onamii »